ตอนที่ 1
เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้น เป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามพระเจ้าจิวบูอ๋อง แลพระวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อๆ ลงมาเป็นหลายพระองค์ ได้ความสุขมาถึงเจ็ดร้อยปี จึงมีผู้ตั้งแข็งเมืองถึงเจ็ดหัวเมือง ครั้งนั้นพระเจ้าจิ๋นอ๋องได้เสวยราชย์ในเมืองจิ๋นก๊ก ให้ไปตีเอาหัวเมืองทั้งเจ็ดนั้นเข้าอยู่อาณาจักรพระเจ้าจิ๋นอ๋องทั้งสิ้น ครั้นอยู่มาพระเจ้าจิ๋นอ๋องเสียแก่ฮั่นฌ้อ แล้วฮั่นโกโจกับฮั่นฌ้อรบกัน จึงได้ราชสมบัติแก่ฮั่นโกโจ ฮั่นโกโจแลพระราชวงศ์ได้เสวยราชสมบัติต่อๆ มาในแผ่นดินจีนนั้นถึงสิบสององค์ มีขุนนางคนหนึ่งชื่ออองมังเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติได้ เป็นเจ้าแผ่นดินอยู่สิบแปดปี แล้วจึงมีหลานพระเจ้าฮั่นโกโจชื่อฮั่นกองบู๊ จับอองมังฆ่าเสียชิงเอาราชสมบัติ ได้เสวยราชย์สืบวงศ์มาสิบสององค์ พระองค์ได้เสวยราชย์ที่สุดนั้น ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงแตกเป็นสามเมือง ภาษาจีนเรียกว่า “สามก๊ก”
เหตุทั้งนี้เพราะพระเจ้าฮั่นเต้ หาพระราชบุตรมิได้ ขอเลนเต้มาเลี้ยงจนเลนเต้ได้เสวยราชย์ มีพระราชบุตรสององค์ ชื่อหองจูเปียนหนึ่ง หองจูเหียบหนึ่ง แลเมื่อพระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์นั้น มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี แลมิได้คบหาคนสัตย์ธรรม เชื่อถือแต่คนอันเป็นอาสัตย์ ประพฤติแต่ตามอำเภอใจแห่งพระองค์ เสียราชประเพณีไป จึงมีขันทีผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อเทาเจียด กับพวกขันทีทั้งปวง เห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักใคร่ไว้พระทัย จึงคิดกันกระทำการหยาบช้าต่างๆ แต่บรรดาราชกิจสิ่งใดนั้น ขันทีว่ากล่าวเอาผิดเป็นชอบ ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรได้รับความเดือนร้อนนัก จึงมีขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองชื่อเตาบู ตันผวนเห็นคิดอ่านจะจับขันทีฆ่าเสีย เทาเจียดขันทีรู้ตัวจึงให้พรรคพวกจับเตาบู ตันผวนไปฆ่าเสีย เทาเจียดแลพวกขันทีทั้งปวงยิ่งทำการกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน
ครั้นอยู่มาพระเจ้าเลนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสองปี (พ.ศ.๗๒๒) ณ เดือนสี่ ขึ้นสิบห้าค่ำ เสด็จอยู่บนพระเก้าอี้ ณ พระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน เวลาตะวันเที่ยงเกิดลมพายุหนัก มีงูสีเขียวใหญ่ตกลงมาพันอยู่ที่เท้าพระเก้าอี้ซึ่งเสด็จอยู่นั้นพระเจ้าเลนเต้ตกพระทัยล้มลงจากพระเก้าอี้หาพระสติมิได้ ชาวรักษาพระองค์เข้าช่วยพยุงเชิญเสด็จเข้าไปที่ข้างใน บรรดาขุนนางผู้ใหญ่น้อยซึ่งเฝ้าอยู่นั้น เห็นงูก็ตกใจกลัว ต่างคนก็วิ่งหนีไป อยู่หน่อยหนึ่งงูนั้นก็หายไป จึงเกิดฟ้าร้องฝนตกห่าใหญ่ ลูกเห็บตกลงตึกแลเรือนราษฎรทั้งปวงหักทลายเป็นอันมาก จนเวลาเที่ยงคืนฝนจึงหยุด ครั้นอยู่มาได้สี่ปี (พ.ศ.๗๒๖) ณ เดือนยี่ เมืองลกเอี๋ยงแผ่นดินไหว น้ำทะเลเกิดใหญ่ท่วมตึกแลเรือนอาณาประชาราษฎรซึ่งอยู่ท่านั้นถล่มลอยไปเป็นอันมาก ไก่ตัวเมียกลายเป็นตัวผู้
ครั้นถึงเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง เกิดนิมิตเป็นควันเพลิงพลุ่งขึ้นไปสูงประมาณยี่สิบวา แล้วควันเพลิงนั้นพลุ่งเข้าไปในพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ครั้น ณ เดือนเจ็ดเกิดนิมิตรัศมีรุ้งตกลงในพระราชวัง แลเขารันซัวสูงใหญ่บันดาลแตกทลายลงพระเจ้าเลนเต้จึงถามขุนนางทั้งปวงว่า นิมิตวิปริตดังนี้จะดีร้ายประการใด ยีหลงขุนนางจึงเขียนหนังสือลับกราบทูลว่า เหตุทั้งปวงนี้เพราะขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา จึงเกิดนิมิตให้พระองค์ปรากฎ
พระเจ้าเลนเต้เห็นหนังสือนั้น ทอดพระทัยอยู่มิได้ตรัสประการใด แล้วเสด็จลุกขึ้นผลัดฉลองพระองค์ใหม่ เทาเจียดขันทีเฝ้าอยู่หลังพระที่นั่ง มองเห็นหนังสือนั้นจึงคิดอ่านกับพรรคพวกว่า จะหาความผิดข้อใหญ่ใส่โทษยีหลงให้ออกจากที่ขุนนาง แลพวกเทาเจียดขันทีซึ่งเป็นผู้ใหญ่นั้นเก้าคน ชื่อเตียวต๋งหนึ่ง เตียวเหยียงหนึ่ง ฮองสีหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เกียนลิดหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง ก๊กสงหนึ่ง เชียกงหนึ่ง เป็นคนทั้งเทาเจียด ถ้าขุนนางผู้ใดมิได้อยู่ในโอวาทก็ให้ถอดเสีย ผู้ใดอยู่ในบังคับบัญชานั้นก็ให้ยกแต่งขึ้น แลเท่าเจียดกับพวกเก้าคนนั้นตั้งชื่อตัวเป็นสิบเสียงสี แลพระเจ้าเลนเต้นั้นเชื่อถือถ้อยคำเตียวเหยียงเรียกเป็นบิดาเลี้ยง ราชการกฎหมายแผ่นดินก็ผันแปรไป อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือนร้อน เกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมเป็นอันมาก
ฝ่ายเมืองกิลกกุ๋นนั้น มีชายพี่น้องสามคน ชื่อเตียวก๊กหนึ่ง เตียงโป้หนึ่ง เตียงเหลียงหนึ่ง แลเตียวก๊กนั้นไปเที่ยวหายาบนภูเขา พบคนแก่คนหนึ่ง ผิวหน้านั้นเหมือนทารก จักษุนั้นเหลือง มือถือไม้เท้า คนนั้นพาเตียวก๊กเข้าไปในถ้ำจึงให้หนังสือตำราสามฉบับ ชื่อไทแผงเยาสุด แล้วว่าตำรานี้ท่านเอาไปช่วยทำนุบำรุงคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจะถึงตัว เตียวก๊กกราบไหว้แล้วจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด คนแก่นั้นจึงบอกว่า เราเป็นเทพดา บอกแล้วก็เป็นลมหายไป
ฝ่ายเตียวก๊กก็กลับมาบ้าน จึงเรียนตำราทั้งกลางวันกลางคืน ก็เรียกลมเรียกฝนได้สารพัดทุกประการ จึงตั้งตัวเป็นโต๋หยิน แปลภาษาไทยว่าพราหมณ์มีความรู้ ครังนั้นห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองทั้งปวงเกิดความไข้ เตียวก๊กจึงเขียนเลขยันต์ตามตำรา ไปแจกให้ชาวเมืองบำบัดความไข้ คนก็นับถือเตียวก๊กมาเป็นศิษย์ให้สั่งสอนอยู่ประมาณร้อยเศษ เตียวก๊กจึงไปเที่ยวรักษาไข้ตามเมืองใหญ่น้อย คนทั้งปวงได้เลขยันต์ชื่อเตียวก๊กให้นั้น ความไข้อันตรายนั้นก็หายชาวเมืองทั้งนั้นก็นับถือไปอยู่เป็นศิษย์เตียวก๊กทวีมากขึ้นทุกวัน เตียวก๊กครั้นมีศิษย์มากแล้ว จึงตั้งศิษย์ไว้เป็นนายบ้านซ่องสามสิบตำบล ตำบลใหญ่คนประมาณหมื่นเศษ ตำบลน้อยมีคนประมาณหกพันเจ็ดพัน มีนายคุมไพร่มีธงสำหรับรบศึกทุกตำบล
เตียวก๊กตั้งตัวเป็นจงกุ๋น แปลว่าพระยา แล้วจึงแต่งอุบายให้ปรากฎไปว่าแผ่นดินจะผันแปรปรวนไปแล้ว จะมีผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่ บ้านเมืองจะเป็นสุข แล้วให้เอาปูนขาวเขียนเป็นอักษรไว้ที่ประตูบ้านเรือนสองตัว อักษรว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข แลเมืองเฉงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองชิวจิ๋ว เมืองเกงจิ๋ว เมืองยังจิว เมืองกุนจิ๋ว เมืองอิจิ๋ว ชาวเมือทั้งแปดเมืองนี้นับถือเขียนเอาชื่อเตียวก๊กไว้บูชาทุกบ้านเรือน เตียวก๊กจึงใช้ม้าอ้วนยี่เอาเงินทองไปให้ฮองสีขันทีเป็นกำนัล แล้วม้าฮ้วนยี่บอกความลับแก่ฮองสีขันทีว่า เตียวก๊กสั่งมาว่าให้ฮองสีช่วยทำการเป็นไส้ศึกในเมือง แล้วเตียวก๊กจึงคิดอ่านกับน้องชายสองคนว่า ถ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดเอาใจไพร่เป็นประมาณ บัดนี้ชาวเมืองทั้งแปดเมืองก็รักใคร่นับถืออยู่ในโอวาทเราสิ้นแล้ว เมื่อการพร้อมฉะนี้ควรจะคิดเอาแผ่นดิน ครั้นจะมิคิดการบัดนี้ก็เสียดายดูมิควร น้องสองคนก็ยอมด้วย เตียวก๊กจึงซ่องสุมทหารแลเครื่องศัสตราวุธพร้อมเตรียมไว้ ถึงกำหนดแล้วจะได้ทำการสะดวก
แล้วเตียวก๊กจึงใช้ศิษย์คนหนึ่งชื่อตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสีตองจิ๋วมิได้เอาหนังสือนั้นให้ฮองสี เอาหนังสือนั้นไปให้ขุนนางกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงให้โฮจิ๋นขุนนางผู้ใหญ่ ยกกองทัพไปจับม้าอ้วนยี่ซึ่งเอาของกำนัลไปให้ฮองสีขันทีมาฆ่าเสีย จับฮองสีขันทีใส่คุกไว้
ฝ่ายเตียวก๊กครั้นรู้ข่าวก็เตรียมทหารไว้พร้อม แล้วจึงตั้งตัวเป็นเทียนก๋งจงกุ๋นแปลว่าเจ้าพระยาสวรรค์ แล้วตั้งเตียวโป้ผู้น้องเป็นแตก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน ตั้งเตียวเหลียงน้องผู้น้อยเป็นยินก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยามนุษย์ เตียวก๊กป่าวประกาศแก่ทหารแลไพร่พลทั้งปวงว่า เมืองพระเจ้าเลนเต้จะสาบสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญจะมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทพดาทำนายเถิด จะได้อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมมูลกัน
ไพร่พลทั้งปวงก็ยินดีด้วย เตียวก๊กให้เอาผ้าเหลืองโพกศรีษะเป็นสำคัญ คนประมาณสี่สิบห้าหมื่น เตียวก๊กกับทหารทั้งปวงพร้อมใจกันเป็นโจร หาผู้ใดจะต้านทานมิได้มีกำลังมากขึ้น โฮจิ๋นจึงเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเลนเต้พระเจ้าเลนเต้ให้มีตราไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนาง แล้วสั่งจงลงเจียงทหารเอกหนึ่ง โลจิ๋นหนึ่ง ฮองฮูลงหนึ่ง จูฮีหนึ่ง ให้คุมทหารยกออกไปเป็นสามด้านให้จับตัวเตียวก๊กจงได้
ฝ่ายเตียวก๊กยกทหารเข้าตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว เล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองอิวจิ๋วนั้นเป็นชาวเมืองกังแฮ เป็นเชื้อฮั่นโกโจเป็นหลายหลังจงฮอง รู้ข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว จึงให้หาเจาเจ้งนายทหารมาปรึกษา เจาเจ้งจึงว่าโจรมีกำลังมากนัก ทหารเมืองเราน้อย จำจะให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมป่าวร้องชาวเมืองซึ่งอยู่ปลายแดนว่า ถ้าผู้ใดกล้าหาญมีปัญญาจับโจรได้ จะบอกความชอบไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ เล่าเอี๋ยนเห็นชอบด้วยจึงให้ทำตาม แล้วแต่งเป็นหนังสือเกลี้ยกล่อมแจกไปทุกหัวเมือง ให้เจ้าเมืองเอาหนังสือปิดไว้ทุกประตูเมือง
แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่ เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือแต่ปัญญาน้ำใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฎออกมาภายนอก ใจนั้นอารีนักมีเพื่อนฝูงมาก ใจกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง กอปรด้วยลักษณะรูปใหญ่สมบูรณ์สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่ามือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู แลเล่าปี่นั้นเป็นบุตรเล่าเหง เล่าเหงเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ เล่าเหงตายยังแต่ภรรยา เล่าปี่ผู้บุตรมีกตัญญูรักษามารดามิให้อนาทร แลเล่าปี่กับมารดาเป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทอเสื่อขายเลี้ยงชีวิต บ้านที่เล่าปี่อยู่นั้น ชื่อบ้านเล่าซองฉุนอยู่ใกล้เมืองตุ้นก้วน เรือนนั้นอยู่ริมต้นหม่อน ต้นหม่อนนั้นสูงประมาณแปดวาเศษ กิ่งนั้นเป็นพุ่มดังฉัตร มีหมอดูคนหนึ่งเดินมาเห็นภูมิบ้านแลต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอยู่ เล่าปี่เมื่อยังเด็กอยู่นั้น เล่นกับลูกชาวบ้านทั้งปวง เล่าปี่จึงว่า ถ้ากูได้เป็นเจ้า กูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำคันเศวตฉัตรกั้น เล่าอ้วนกีทำนุบำรุงให้เงินทองแก่เล่าปี่เนืองๆ เมื่อเล่าปี่อายุได้สิบห้าปี มารดาจึงให้ไปเรียนหนังสือกับเต้เหี้ยนผู้เป็นครู เล่าปี่นั้นมีเพื่อนสองคน ชื่อโลติดหนึ่ง กองซุนจ้านหนึ่ง เรียนหนังสืออยู่ด้วยกันจนอายุได้ยี่สิบห้าปี ขณะนั้นเล่าปี่เดินไปเห็นหนังสือซึ่งปิดไว้ที่ประตูเมือง เล่าปี่คิดไปมิตลอดยืนดูหนังสือทอดใจใหญ่อยู่
มีคนหนึ่ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่แล้วว่า เป็นชายไม่ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วสิมาทอดใจใหญ่ ฝ่ายเล่าปี่กลับหน้ามาดู เห็นผู้นั้นสูงประมาณห้าศอกศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบเห็นผิดประหลาดจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด ผู้นั้นจึงตอบว่าเราชื่อเตียวหุยเอ๊กเต๊กบ้านอยู่ตุ้นก้วน เรามีทรัพย์สินไร่นาเป็นอันมาก ทั้งร้านสุกรสุราก็มีขาย เราพอใจคบเพื่อนฝูงซึ่งมีสติปัญญา บัดนี้เห็นท่านดูหนังสือแล้วทอดใจใหญ่ จึงทักจะใคร่รู้เนื้อความ เล่าปี่จึงว่าเราเป็นเชื้อพระเจ้าฮั่นเกงเต้ชื่อเล่าปี่ ได้ยินข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาทำอันตรายแผ่นดิน เราคิดจะใคร่อาสาแผ่นดินไปปราบโจร แต่ขัดสนด้วยกำลังน้อยทรัพย์ก็น้อยคิดไปมิตลอด จึงทอดใจใหญ่เตียวหุยจึงว่าทรัพย์นั้นเรามีอยู่ เราจะคิดกันไปเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งมีฝีมือกล้าหาญ ท่านกับเราจะยกออกไปจับโจรจะเห็นประการใด เล่าปี่ได้ฟังก็ดีใจจึงชวนเตียวหุยเข้าไปในร้านสุราซื้อสุราแล้วก็ชวนกันนั่งกินอยู่
มีคนหนึ่งรูปร่างโต ใหญ่ขับเกวียนมาถึงหน้าร้านสุราเข้าไปเรียกผู้ขายสุราว่า เอาสุรามาขายจงเร็ว เรากินแล้วจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เล่าปี่เห็นผู้นั้นสูงประมาณหกศอก หนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการเวก เห็นกิริยาผิดประหลาดกว่าคนทั้งปวง เล่าปี่จึงชวนเข้าไปนั่งกินสุราด้วยแล้วถามว่าท่านนี้ชื่ออะไร ผู้นั้นจึงบอกว่าเราชื่อกวนอู อีกชื่อหนึ่งนั้นหุนเตี๋ยง บ้านเราอยู่เมืองฮอตั๋งไกเหลือง ที่เมืองฮอตั๋งไกเหลียงนั้น มีคนคนหนึ่งมีทรัพย์มากร้ายกาจสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง เราเห็นผิดนักเราจึงฆ่าผู้นั้นเสียแล้วหนีไปเที่ยวอยู่เป็นหลายหัวเมือง บัดนี้เราได้ยินว่าเมืองนี้มีหนังสือเกลี้ยกล่อมป่าวร้องให้อาสาแผ่นดินจับโจรโพกผ้าเหลืองเราจึงมาหวังจะอาสาแผ่นดิน เล่าปี่จึงตอบว่า เรากับเตียวหุยคิดต้องกันกับท่าน กวนอูได้ยินก็ดีใจ เตียวหุยจึงว่าเราทั้งสามคิดการต้องกัน เชิญท่านทั้งสองมาไปบ้านเรา ที่หลังบ้านเรามีสวนดอกไม้แล้วเป็นที่สงัด ดอกยี่โถก็บานอยู่เป็นอันมาก จะได้บูชาพระแลเทพดาแล้วจะได้ให้สัตย์ต่อกันทั้งสามให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะได้คิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่ กวนอูได้ยินก็ยินดี จึงชวนกันไปยังบ้านเตียวหุย ครั้นรุ่งขึ้นเตียวหุยจึงจัดม้าขาวกระบือดำแลธูปเทียนสิ่งของทั้งปวงแล้วชวนกันออกมายังสวนดอกไม้ จึงจุดธูปเทียนไว้พระแลบูชาเทพดาแล้วจึงตั้งสัตย์สาบานต่อกันว่า ข้าพเจ้าเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยทั้งสามคนนี้อยู่ต่างเมืองวันนี้ได้มาพบกัน จะตั้งสัตย์สบถเป็นพี่น้องร่วมท้องกันเป็นน้ำใจเดียวซื่อสัตย์ต่อกันสืบไปจนตาย จะได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้ามีภัยอันตรายสิ่งใดแลรบศึกเสียที ข้าพเจ้ามิได้ทิ้งกัน จะแก้กันกว่าจะตายทั้งสามแลความสัตย์นี้ข้าพเจ้าได้สาบานต่อหน้าเทพดาทั้งปวงจะเป็นทิพย์พยาน ถ้าสืบไปภายหน้าข้าพเจ้าทั้งสามมิได้ซื่อตรงต่อกัน ขอให้เทพดาสังหารผลาญชีวิตให้ประจักษ์แก่ตาโลก จึงเรียกเล่าปี่เป็นพี่เอื้อย กวนอูเป็นน้องกลาง เตียวหุยเป็นน้องสุด แลชาวบ้านซึ่งกล้าหาญนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วย เป็นคนสามร้อยคนก็กินโต๊ะเลี้ยงดูกันแล้ว จัดเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมากยังขัดสนแต่ม้า
จึงมีคนมาบอกเล่าปี่ว่า มีพ่อค้าม้าต้อนม้าเข้ามาในบ้านเรา เล่าปี่จึงออกไปรับพ่อค้าม้าสองคนเข้ามา คนหนึ่งชื่อเตียวสิเผง คนหนึ่งชื่อเล่าสง บอกเล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าค้าขายม้าเป็นหลายปี มาปีนี้ไปขายม้าพบโจรกลางทางไปไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเมืองนี้ เล่าปี่จึงชวนพ่อค้าม้าสองคนเข้าไปในบ้าน ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงแล้วบอกว่า เราคิดกันจะไปจับโจรซึ่งทำจลาจลในแผ่นดิน เตียวสิเผง เล่าสงว่าท่านคิดนี้ต้องกับข้าพเจ้าแล้ว จึงจัดแจงม้าห้าสิบม้ากับเงินห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบให้เป็นกำลัง เล่าปี่จึงขอบคุณพ่อค้าม้าทั้งสองคน แล้วหานายช่างมาตีเป็นกระบี่สองเล่มสำหรับมือ ซึ่งกวนอูจะถือนั้นให้ช่างตีเป็นง้าวเล่มหนึ่ง ยาวสิบเอ็ดศอก หนักแปดสิบสองชั่ง เตียวหุยถือนั้นให้ตีเป็นทวนเล่มหนึ่ง ยาวสิบศอก หนักแปดสิบห้าชั่ง แล้วให้ทำเครื่องเกราะแลอานม้าสำหรับรบครบทั้งสามนาย แล้วจึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านที่มีฝีมือกล้าแข็งได้ห้าร้อยคน จึงพาไปหาเจาเจ้ง เจาเจ้งจึงพาไปหาเล่าเอี๋ยนผู้เป็นเจ้าเมือง ทั้งสามพี่น้องจึงคำนับแล้วบอกชื่อแลแซ่ เล่าเอี๋ยนได้ยินว่าเป็นแซ่เดียวกันก็ยินดีนัก จึงรับไว้เป็นหลายชาย
ครั้นอยู่มาหลายวัน จึงมีคนถือหนังสือบอกเข้ามาว่า โจรโพกผ้าเหลืองทหารเอกชื่อเทียอ้วนจี้ คุมพลประมาณห้าหมื่น ยกเข้ามาแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งเจาเจ้งให้หาตัวเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยมา แล้วให้คุมพลห้าร้อยยกออกไปจับโจร เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยยินดีนัก ก็ยกทหารห้าร้อยออกไปถึงตำบลเขาไทเหียงสัน แลไปเห็นพวกโจรยกมาเป็นอันมาก แลพวกโจรนั้นมิได้เกล้ามวยกระจายผมเอาแต่ผ้าเหลืองโพกศีรษะทั้งสิ้น เล่าปี่จึงให้ตั้งค่ายลงไว้แล้วขับม้าออกไปหน้าทหาร แลฝ่ายขวานั้นม้ากวนอู ฝ่ายซ้ายนั้นม้าเตียวหุย เล่าปี่จึงเอาแส้ม้าชี้หน้าด่าพวกโจรว่า อ้วยพวกขบถ เทียอ้วนจี้โกรธนักจึงใช้ทหารเอกชื่อเตงเมาขี่ม้าออกไปรบ เตียวหุยถือทวนยาวสิบศอกขับม้าเข้ารบกับเตงเมา เตียวหุยรำเพลงทวนแทงถูกอกเตงเมาตกม้าตาย
เทียอ้วนจี้โกรธนักถือง้าวขับม้าออกจะรบด้วยเตียวหุย กวนอูเห็นจึงขับม้าผ่านหน้าม้าเตียวหุยออกมาจะรบ เทียอ้วนจี้เห็นรูปกวนอูก็ตกใจเสียที กวนอูเอาง้าวฟันถูกเทียอ้วนจี้ตัวขาดออกเป็นสองท่อน พวกโจรทั้งนั้นก็แตกกระจายไปสิ้น เล่าปี่จึงขับทหารเข้าไล่จับพวกโจรได้เป็นอันมาก แล้วยกทหารกลับเมืองตุ้นก้วน
ฝ่ายเล่าเอี๋ยนครั้นรู้ข่าวก็ออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง แล้วพากันกลับเข้ามา จึงปูนบำเหน็จพวกทหารตามสมควร ครั้นรุ่งขึ้นม้าใช้ถือหนังสือสิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วมาถึงเจ้าเมืองตุ้นก้วนว่า บัดนี้มีโจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองเฉงจิ๋วจะขอกองทัพไปช่วย เล่าเอี๋ยนจึงหาเล่าปีมาปรึกษา เล่าปี่ว่าข้าพเจ้าแลน้องข้าพเจ้าจะขออาสายกไปช่วยเมืองเฉงจิ๋ว เล่าเอี๋ยนมีความยินดี จึงสั่งเจาเจ้งให้คุมทหารห้าพันยกไปกับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เล่าปี่กับเจาเจ้งยกทหารมาถึงเมืองเฉงจิ๋ว พวกโจรเห็นกองทัพยกออกมาก็เข้าตี
ฝ่ายเล่าปี่ เจาเจ้งทหารน้อยจึงถอยทัพออกมา แล้วปรึกษากันกับกวนอูเตียวหุยว่า ทหารเราน้อยกว่าพวกโจร เราจะคิดเป็นกลศึกจึงจะเอาชัยชนะได้ แล้วเล่าปี่ให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ตำบลเขาข้างซ้ายทาง ให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ข้างขวาทาง กำหนดว่าถ้าได้ยินเสียงม้าล่อแล้วเมื่อใดให้ยกทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองข้าง กวนอู เตียวหุยก็ยกไปตามสั่ง ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปีกับเจาเจ้งยกทหารไปตามทางซึ่งกวนอู เตียวหุยซุ่มอยู่นั้น
ฝ่ายพวกโจรก็รุกไล่เล่าปี่มา เล่าปี่ก็ให้ถอยทัพมาถึงภูเขาซึ่งซุ่มทหารอยู่นั้นแล้วให้ตีม้าล่อสัญญาณขึ้น ฝ่ายกวนอู เตียวหุย ซึ่งคุมทหารอยู่นั้น ก็ยกตีกระหนาบออกมาทั้งสองข้าง เล่าปี่ก็ขับทหารตีเป็นหน้ากระดานขึ้นไป
ฝ่ายทัพโจรเสียทีก็แตกหนีเข้ามาชานกำแพงเมืองเฉงจิ๋ว ทัพเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ไล่ตีกระหนาบพวกโจรมา สิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วเห็น จึงยกทหารออกตีกระหนาบเป็นสี่ด้าน พวกโจรนั้นระส่ำระสายเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมากก็แตกหนีไปสิ้น สิบเกงจึงปูนบำเหน็จทหารเล่าปี่ตามสมควร แล้วเจาเจ้งว่าเราจะยกทหารกลับไปเมืองตุ้นก้วน
เล่าปีจึงว่า ได้ยินข่าวว่าโลติดผู้เป็นตงลงเจียง เป็นทหารเอกพระเจ้าเลนเต้รบกับเตียวก๊กนายโจรอยู่ตำบลเมืองกงจ๋ง ข้าพเจ้าจะขอทหารไปรบพวกโจร เจาเจ้งจึงจัดทหารให้เล่าปี่ห้าร้อย เจาเจ้งก็ยกทหารสี่พันห้าร้อยกลับมาเมืองตุ้นก้วน ฝ่ายเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ยกไปถึงเมืองกงจิ๋ว แล้วชวนกันไปหาโลติด จึงเอาข้อราชการซึ่งได้รบโจรนั้นแจ้งแก่โลติด โลติดยินดีนัก จึงว่าท่านทั้งสามอยู่ทำราชการด้วยเราเถิด
ฝ่ายเตียวก๊กมีพวกโจรประมาณสิบห้าหมื่น โลติดนั้นมีทหารประมาณห้าหมื่น แลทัพโลติดกับเตียวก๊กตั้งค่ายประชิดกันอยู่ยังมิได้แพ้ชนะกัน โลติดจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวโป้ เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กนั้นคุมโจรไปรบกับฮองฮูงสงแลจูฮีอยู่ ณ เมืองเองฉวน แล้วให้สืบเอาข่าวราชการหนักเบามาจงได้ เล่าปี่รับคำแล้วยกทหารรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน
ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีนั้นแต่งทหารออกรบกับพวกโจรยังมิได้แพ้ชนะกันพ้นเวลาแล้วเตียวโป้ เตียวเหลืองให้ทหารถอยเข้ามาที่มั่น แล้วให้เอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีรู้จึงปรึกษากันว่า บัดนี้พวกโจรเอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย เราจะคิดเอาเพลิงเผาค่ายพวกโจรเสียจงได้ จึงให้ทหารมัดหญ้าคนละมัด ให้ขุดอุโมงค์เข้าไปถึงริมค่ายโจร ให้เอาหญ้าไปกองซุ่มไว้ตามริมค่าย ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก ทหารทั้งปวงได้ทีห็สัญญาณพร้อมกัน แล้วจุดเพลิงระดมเผาค่ายโจรไหม้ขึ้นสิ้น แสงเพลิงดุจกลางวันพวกโจรทั้งปวงตกใจมิทันใส่เกราะแลผูกอานม้า ก็แตกกระจาหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ ฮองฮูสง จูฮีขับทหารเข้าไล่แทงฟันพวกโจรป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก
ครั้นรุ่งขึ้น เตียวโป้ เตียวเหลียง กับพวกโจรซึ่งเหลือนั้นก็ชวนกันหาทางที่จะหนีเอาชีวิตรอด จึงไปพบทัพหนึ่งธงแดงทั้งทัพ ทหารกองหน้าเข้าสกัดพวกโจรไว้มิให้หนีได้ แลนายทัพนั้นชื่อโจโฉ สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว เป็นบุตรโจโก๋ แลโจโฉเมื่อน้อยนั้นมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลง มีปัญญาความคิดรวดเร็ว ฝ่ายว่าโจเต๊กนั้นเห็นโจโฉเป็นนักเลงไม่ทำมาหากันก็มีใจชังเป็นอันมาก จึงเดินไปจะเอาเนื้อความบอกโจโก๋ผู้พี่ โจโฉเห็นว่าอาชังอยู่จะเอาเนื้อความไปบอกบิดา โจโฉทำมีอันเป็นล้มลง อาเห็นจึงร้องบอกโจโก๋ว่าโจโฉมีอันเป็น โจโก๋ตกใจว่าบุตรมีอันเป็นก็วิ่งมาดู โจโฉลุกขึ้นเล่นปรกติอยู่ โจโก๋จึงว่าอาเอ็งไปบอกว่าเอ็งมีอันเป็น บัดนี้หายแล้วหรือโจโฉจึงว่าแต่น้อยมาข้าหาเจ็บป่วยสิ่งใดไม่ เพราะอาชังข้าจึงเอาความมิดีมาใส่แต่นั้นไปโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ ถึงอาจะเอาความสิ่งใดมาบอก โจโก๋มิได้เชื่อคำน้องชาย โจโฉยิ่งกำเริบใจเล่นหัวหยาบช้าไปกว่าแต่ก่อน เพื่อนเล่นทั้งปวงพูดจายกยอโจโฉว่าแผ่นดินบัดนี้เป็นจลาจลอยู่ หาผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะปราบปรามอันตรายให้อยู่เย็นเป็นสุขไม่ เราทั้งปวงเห็นแต่ท่านมีสติปัญญา จะคิดอ่านปราบปรามให้แผ่นดินเป็นสุขได้ แลเมืองลำหยงนั้นมีคนหนึ่งชื่อโหเง้า ว่าแก่คนทั้งปวงว่าแผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว แลในเมืองหลิหลำมีหมอคนหนึ่งชื่อเขาเฉียวรู้ดูลักษณะคน โจโฉจึงไปหาเขาเฉียวถามว่า ข้าพเจ้านี้สืบไปภายหน้าเห็นดีชั่วประการใด เขาเฉียวนิ่งอยู่โจโฉจึงถามซ้ำไปอีก เขาเฉียวจึงว่าท่านมีปัญญามาก จะป้องกันแผ่นดินได้อยู่แต่มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจะเป็นศัตรูราชสมบัติ โจโฉหัวเราะชอบใจ ครั้นอายุโจโฉได้ยี่สิบปี จึงเข้าไปทำราชการฝ่ายทหารในเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้เอาให้สำคัญห้าสิบไปปักไว้ทั้งสี่ประตูเมือง ห้ามมิให้คนเดินกลางคืน ถ้าเดินไปมาผิดประหลาด ให้จับเอาตัวมาทำโทษ ครั้นกลางคืนวันหนึ่งโจโฉไปตระเวนพบเอาขันทีเดินมาผิดเวลา โจโฉให้จับเอาตัวมาตีสิบห้าที แลโฉนั้นทำราชการเข้มแข็งขึ้นทุกวัน คนทั้งปวงยำเกรงเป็นอันมาก พระเจ้าเลนเต้จึงตั้งให้เป็นตุนขิวเหล็ง ครั้นพวกโจรโพกผ้าเหลืองกำเริบจลาจลขึ้นในเมืองเองฉวน พระเจ้าเลนเต้จึงให้โจโฉเลื่นที่เป็นโต๊ะอุ๋ยให้คุมทหารห้าพันยกไปช่วยเมืองเองฉวนจึงพบเตียวโป้ เตียวเหลียง กับพวกโจรที่เหลือตายแตกหนีมานั้น โจโฉจึงรบสกัดไว้ ฆ่าพวกโจรเสียประมาณหมื่นเศษ ทหารโจโฉได้ม้าแลเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก แต่ตัวเตียวโป้ เตียวเหลียงนั้นหนีได้ โจโฉจึงเข้าไปหาฮองฮูสง จูฮีบอกข้อราชการแล้ว โจโฉขอทหารไปตามเตียวโป้ เตียวเหลียง
ฝ่ายเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยยกมาถึงเมืองเองฉวน ได้ยินเสียงรบพุ่งกันแล้วแลเห็นแสงเพลิงสว่าง จึงเร่งทหารรีบไปจะช่วย พอมาถึงเข้าพวกโจรนั้นก็แตกไป เล่าปี่จึงพากวนอู เตียวหุยเข้าไปหาฮองฮูสง จูฮีแล้วบอกว่า โลติดให้ข้าพเจ้ามาช่วยราชการท่าน ฮองฮูสง จูฮีว่าขอบใจนักแล้วบอกว่า บัดนี้เตียวโป้เตียวเหลียงแลพวกโจรนั้นแตกแล้ว เราเห็นเตียวโป้ เตียวเหลียงจะหนีไปหาเตียวก๊กผู้พี่ ณ เมืองจงก๋ง ถ้าท่านเร่งยกทหารรีบตามก้าวสกัดเห็นจะได้ตัวเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ลายกทหารกลับไป ถึงกลางทางพอพบข้าหลวงคุมคนโทษขังกรงใส่เกวียนมา จึงแลไปเห็นโลติดจำขังอยู่ในกรง เล่าปี่ตกใจโจนลงจากม้าเข้าไปถามโลติดว่า เหตุใดจึงเป็นโทษฉะนี้ โลติดบอกว่าเราล้อมเตียวก๊กไว้จะใกล้แตกอยู่แล้ว เตียวก๊กมีความรู้เป็นอันมากจะเอาโดยเร็วยังมิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงใช้จูฮงชาววังมาสืบข่าวราชการ จูฮงจะเอาของกำนัลสินบนแก่เรา เราจึงว่าในกองทัพนี้ก็ขาดเสบียงอยู่ เราจะมีสิ่งอันใดให้สินบนเล่า จูฮงโกรธกลับไปทูลกล่าวโทษว่าเรานี้มิได้มีใจรบพุ่ง ราชกาลจึงเนิ่นช้าอยู่ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ตั๋งโต๊ะมาเป็นนายทัพแทนเรา แล้วให้จำเราใส่กรงส่งไปเมืองหลวง เตียวหุยได้ยินก็โกรธชักดาบออกจะฆ่าผู้คุมเสีย จะถอดโลติดออกจากกรง เล่าปี่จึงห้ามว่าอย่าทำ เนื้อความนี้เป็นข้อรับสั่งอยู่ จะทำแต่อำเภอใจด้วยโกรธนั้นไม่ได้ กวนอูจึว่าบัดนี้โลติดสิเป็นโทษแล้ว คนอื่นมาเป็นนายทัพซึ่งจะทำราชการด้วยนั้นเห็นจะพึ่งพาอาศัยขัดสน ถึงจะมีความชอบก็กลับเป็นผิดเหมือนโลติดฉะนี้ เราจะกลับไปเมืองตุ้นก้วนดีกว่า เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ยกไปเมืองตุ้นก้วน ยกมาทางสองวันแล้วได้ยินเสียงโห่ร้องข้างหลังเขา เล่าปี่จึงพากวนอู เตียวหุยควบม้าขึ้นไปดูบนเขา แลไปเห็นทัพหลวงแตก พวกโจรโพกผ้าเหลืองไล่มา เล่าปี่เห็นธงสำคัญจึงรู้ว่าทัพเตียวก๊กไล่ทัพตั๋งโต๊ะมา เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยจึงลงไปช่วยรบทัพเตียวก๊กกลับแตกหนีไปทางประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงได้กลับไปค่าย แล้วให้หาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยมาถามว่า ตัวนี้เป็นขุนนางตำแหน่งใด เล่าปี่บอกว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นตำแหน่งที่ขุนนางนั้นหามิได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นทำกิริยาดูหมิ่นมิได้นับถือ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ลาออกมา เตียวหุยจึงว่าเราพี่น้องสามคนช่วยเอาชีวิตมันไว้รอด มันก็ไม่รู้คุณเรา กลับทำหยาบช้าดูหมิ่น ชอบแต่ฆ่าเสียจึงจะหายความแค้น แล้วจับดาบจะไปฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เล่าปี กวนอูห้ามว่าอย่าทำ เขาเป็นข้าหลวง เตียวหุยตอบว่า ถ้าไม่ฆ่ามันเสีย เราจะต้องอยู่ให้มันใช้ มันจะดูถูกยิ่งกว่านี้ เพราะมันมีอาญาสิทธิ์ พี่ทั้งสองจะอยู่ก็อยู่เถิดข้าจะลาไปหาที่พึ่งอื่นแล้ว เล่าปี่ กวนอูจึงว่าเราพี่น้องทั้งสามคนเป็นกระไรก็เป็นด้วยกัน ซึ่งจะพลัดกันนั้นไม่ควร จะไปไหนต้องไปด้วยกัน เตียวหุยจึงว่าถ้าดังนั้นจะค่อยคลายความแค้น แล้วเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็ยกทหารกลับไปหาจูฮี ณ เมืองเองฉวน ให้ทหารรีบเดินทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงก็พากันเข้าไปหาจูฮี แล้วเล่าข้อราชการทั้งปวงให้จูฮีฟังสิ้น จูฮีรักใคร่นับถือเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเอาไว้เป็นกองเดียวกัน จูฮีจึงว่าตั๋งโต๊ะนั้นบ้านอยู่ ณ เมืองหลวงลายลิมโหย่เป็นขุนนางชื่อฮ่องโต๋งทายสิว แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้การหนักเบา มิได้รู้จักคนดีแลชั่ว มีแต่ถือตัว ซึ่งท่านจะอยู่ด้วยนั้นหาประโยชน์มิได้
ฝ่ายโจโฉซึ่งไปตามเตียวโป้ เตียงเหลียง ครั้นไม่พบแล้วก็กลับมาหาฮองฮูสง ณ เมืองเองฉวน เข้าทำราชการกองเดียวกันกับฮองฮูสง ฮองฮูสงกับโจโฉครั้นรู้ข่าวว่าเตียงเหลียงอยู่ ณ เมืองโฉเหียง จึงยกทหารไปรบเตียวเหลียง ฝ่ายเตียวโป้นั้นไปตั้งอยู่ตำบลหลังเขาแห่งหนึ่ง มีพวกโจรอยู่ประมาณแปดหมื่นเก้าหมื่น
จูฮีครั้นรู้ข่าวจึงให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเป็นทัพหน้า จูฮีเป็นทัพหลวงยกทหารมารบเตียวโป้ ฝ่ายเตียวโป้จึงใช้โกเสงคุมพวกโจรออกมารบกับทัพหน้า เล่าปี่จึงให้เตียวหุยออกรบด้วยโกเสง ยังมิทันได้สามเพลงเตียวหุยเอาทวนแทงถูกโกเสงตกม้าตาย พวกโจรทั้งหลายก็แตกไป เล่าปี่ขับทหารเข้าไล่ตีพวกโจรเตียวโป้จนความคิดจึงเสกคาถาให้เป็นเมฆมืดอากาศฟ้าร้องลมพายุพัดหนักฝนตกแล้วมีคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาแต่อากาศ ทหารเล่าปี่เห็นก็ตกใจ เล่าปี่จึงถอยทัพมาปรึกษากับจูฮี จูฮีจึงว่าเขาทำด้วยความรู้ เราจะให้ทหารเอาของโสโครกขึ้นไปซ่อนไว้บนเขา ถ้าทำดังนี้อีกให้ทหารสาดเอาความรู้ก็จะเสื่อมไป เล่าปี่จึงให้กวนอู เตียวหุยคุมทหารคนละพัน เอาของโสโครกขึ้นไปไว้บนเขาทั้งสองข้างซึ่งกระหนาบทางที่จะรบกันนั้น ครั้นรุ่งขึ้นเตียวโป้ยกพวกโจรออกมา เล่าปี่ยกทหารออกโจมตีพวกโจร เตียวโป้จึงเสกคาถาเป็นเมฆมืดลมพัดหนักฝนตก เป็นคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาจากอากาศเป็นอันมาก เล่าปี่เห็นก็ทำถอยทัพมา เตียวโป้ก็ขับพวกโจรไล่ทหารเล่าปี่มาถึงเขากระหนาบสองข้างทาง กวนอู เตียวหุยจึงให้ทหารเอาของโสโครกแลโลหิดสุกรสุนัขนั้นสาดไปถูกพวกโจร แลคนขี่ม้าซึ่งลงมาแต่อากาศนั้นก็กลายเป็นกระดาษ ม้านั้นก็กลายเป็นมัดหญ้าไป เมฆแลฝนลมนั้นก็หายสว่างไป เตียวโป้เห็นเขาแก้ความรู้ได้ก็ถอยทัพมา จูฮี เล่าปี่ยกทหารตามรบไปจนถึงเขาทั้งสองนั้น ฝ่ายกวนอู เตียวหุยซึ่งอยู่บนเขาก็ยกทหารลงรบกระหนาบทั้งสองข้าง ทัพเตียวโป้แตกหนี เล่าปี่ยกทหารตามจึแลไปเห็นมีหนังสือชื่อเตียวโป้ เตียวโป้นั้นหนีเข้าในป่า เล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ตามยิงถูกไหล่ซ้ายเตียวโป้ลูกเกาทัณฑ์ติดไหล่ไป เตียวโป้จึหนีเข้าไปในเมืองเยียงเซียแล้วปิดประตูเมืองไว้ จูฮีกับเล่าปี่ขับทหารเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วจึงเกณฑ์ทหารให้ไปสืบข่าวฮองฮูสงที่ไปรบเตียวเหลียง พอม้าใช้มาบอกแก่จูฮี เล่าปี่ว่า บัดนี้ฮองฮูสงยกพลไปรบกับเตียวก๊ก เตียวก๊กตายก่อนแล้ว เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กคุมพลออกไปรบกับฮองฮูสง ฮองฮูสงรบเตียวเหลียงแตกถึงเจ็ดครั้ง ครังหลังฮองฮูสงฟันเตียวเหลียงตายที่เมืองโฉหยงแล้ว แลพรรคพวกเตียวเหลียงนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมเป็นอันมาก ฮองฮูสงจึงคุมเอาพรรคพวกเตียวก๊กกับศพเตียวก๊กขึ้นไปถวายพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงเลื่อนที่ให้ฮองฮูสงเป็นที่ติจงกุ๋น แปลว่าทหารสำหรับรักษาพระองค์ ให้กินเมืองบุยจิ๋วด้วย แล้วฮองฮูสงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า โลติดนั้นมีความชอบในสงคราม จะได้มีความผิดเหมือนจูฮงกราบทูลนั้นหามิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ถอดโลติดออกพ้นโทษ แล้วจะให้คงที่ดังก่อนฝ่ายโจโฉนั้นมีความชอบจึงโปรดให้ไปกินเมืองเจลำเซียง จูฮี เล่าปี่ซึ่งล้อมเมืองเยียงเซียอยู่ รู้ว่าทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยมีความชอบให้ไปกินเมืองเป็นหลายตำบล จึงเร่งทหารเข้าตีเมืองเยียงเซียจะใกล้ได้อยู่แล้ว ลำแจ้งนายทหารโจรจึงคิดอ่านกับพวกโจรทั้งปวงลอบฆ่าเตียวโป้ผู้นายเสีย แล้วตัดศีรษะออกมาให้จูฮี เล่าปี่ถึงนอกเมือง ตัวนั้นก็ยอมเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการด้วย จูฮีมีความยินดีนัก จึงแต่งหนังสือซึ่งได้ทำราชการมีความชอบนั้นบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้
ฝ่ายเตียวฮ่อง ฮั่นต๋ง ซุนต๋องทหารเตียวก๊ก ครั้นเตียวก๊กตาแล้วก็ซ่องสุมพวกโจรได้หลายหมื่น ยกไปเที่ยวปล้นตีบ้านเมืองเผาเสียเป็นหลายเมืองม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงให้มีตราไปถึงจูฮีให้จัดทหารที่มีฝีมือยกไปจับพวกโจร จูฮีจึงจัดทหารยกไปล้อมเมืองอ้วนเซียด้านตะวันออก ให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยล้อมด้านตะวันตก ฝ่ายเตียวฮ่องแต่งให้ฮั่นต๋งคุมทหารออกไปรบด้านซึ่งเล่าปี่ล้อมอยู่นั้น จูฮีคุมทหารเอกสองพันเข้ารบกระหนาบ ฝ่ายพวกโจรเหลือกำลังก็หนีกลับเข้าเมือง เล่าปี่แลทหารทั้งปวงตามตีเข้าไปจนถึงเชิงกำแพงล้อมเมืองไว้รอบ พวกโจรอยู่ในเมืองขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ฮั่นต๋งจึงใช้ทหารออกมาหาจูฮี ขอเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยจูฮี จูฮีไม่รับ เล่าปี่จึงว่าครั้งพระเจ้าโกโจได้ราชสมบัตินั้น เพราะมีผู้มาเข้าเกลี้ยกล่อมเป็นอันมาก เหตุไฉนท่านจึงไม่รับเกลี้ยกล่อมฮั่นต๋ง จูฮีตอบว่าครั้นพระเจ้าฮั่นโกโจนั้นบ้านเมืองมิได้ปรกติมีเสี้ยนหนามเป็นอันมาก พระเจ้าฮั่นโกโจจึงรับเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวง ครั้งนี้มีจลาจลแต่โจรพวกเดียว ครั้นจะเอาพวกโจรเข้าไว้ในเกลี้ยกล่อม คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างว่าทำผิด แลถ้ามีผู้มาปราบปรามก็จะละพยศอันร้ายเสีย นานไปก็จะรื้อทำความชั่วไปอีก เล่าปี่จึงตอบว่าควรแล้ว แลซึ่งเราล้อมเมืองไว้นี้ก็รอบทั้งสี่ด้าน เมืองก็จวนจะเสียอยู่แล้วอันพวกโจรก็เป็นชายชาติทหารอุปมาเหมือนสุนัขจนตรอก ไหนจะนิ่งให้ทหารเราจับโดยง่าย คงจะรบเป็นสามารถ ทหารเราก็จะเสียบ้าง พวกโจรก็จะเสียบ้างเหมือนเอาพิมเสนไปแลกเกลือ ขอให้ยกทหารด้านตะวันออกเสีย เปิดให้พวกโจรออกไป จึงค่อยตามจับเอาเห็นจะได้สะดวก จูฮีเห็นชอบด้วย สั่งทหารให้เลิกด้านตะวันออกเสียแล้วมารุมตี ฮั่นต๋งจึงยกพลหนีออกจากเมืองด้านตะวันออก จูฮี เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยสี่นายคุมทหารไล่ไป แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกฮั่นต๋งตาย ทหารทั้งนั้นก็แตกไป
จูฮี เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยสี่นายพบเตียวฮ่อง ซุนต๋งซึ่งเป็นพวกฮั่นต๋งนั้น คุมทหารขวางหน้าเข้ารบจูฮี จูฮีเห็นพลเตียวฮ่องมากนักก็ถอยกลับมาเตียวฮ่อง ซุนต๋งก็ไล่รบไปชิงคืนเอาเมืองได้ จูฮีก็ถอยไปตั้งค่ายมั่นทางไกลเมืองประมาณร้อยหนึ่ง จูฮีคิดจะยกเข้ารบเอาเมืองอ้วนเซียอีก พอแลเห็นทหารพวกหนึ่งยกมาทางตะวันออกแลนายทหารซึ่งยกมานั้นชื่อซุนเกี๋ยน กิริยาเหมือนเสือหน้าผากใหญ่ยาว เกิด ณ เมืองต๋องง่อ แลซุนเกี๋ยนเมื่ออายุสิบเจ็บปีนั้น ไปเมืองเจียนต๋องกับบิดา ครั้นถึงปากน้ำเมืองเจียนต๋อง พบโจรสิบคนตีชิงลูกค้าเอาของมาปันกันอยู่บนบก ซุนเกี๋ยนจึงว่าแก่บิดาว่า โจรเหล่านี้หยาบช้านักข้าจะขึ้นไปจับตัวให้ได้ แล้วซุนเกี๋ยนก็เดินขึ้นไปทำอาการดุจดังขุนนางเรียกบ่าวไพร่ทั้งปวงอื้ออึง ฝ่ายโจรสิบคนเห็นก็ตกใจทิ้งของเสียวิ่งหนีไป ซุนเกี๋ยนไล่ตามฆ่าโจรตายคนหนึ่ง เก้าคนนั้นหนีไปได้ กิตติศัพท์ทั้งนี้ก็รู้ไปถึงเจ้าเมืองเจียนต๋องเจ้าเมืองเจียนต๋องจึงเอาตัวเข้าไปตั้งให้เป็นนายทหาร
อยู่มาหือฉงเป็นขบถคุมพลได้หลายหมื่น ตั้งตัวเป็นเจ้าชื่อว่าเจ้ายังเป๋งแลผู้รักษาเมืองกับซุนเกี๋ยนรู้ จึงเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งกล้าแข็งได้พันเศษ จึงไปรบที่เมืองหือฉง ฟันหือฉงกับลูกหือฉงตาย ผู้รักษาเมืองจึงบอกหนังสือความชอบขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้แก่ซุนเกี๋ยน ครั้นอยู่มาพวกโจรโพกผ้าเหลืองคุมพวกเพื่อนเที่ยวตีบ้านเมืองกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ฝ่ายซุนเกี๋ยนรู้ข่าวว่า จูฮีจะปราบโจรทั้งมีความยินดีนัก จึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านชาวเมือง กับทหารเมืองด้วนเซียทั้งสองเหล่า ได้คนประมาณพันห้าร้อยแล้วยกมา ซุนเกี๋ยนมาถึงจูฮีแล้วบอกแก่จูฮีว่าข้าพเจ้าจะขออาสาปราบโจร จูฮีมีความยินดีนัก จึงจัดทหารทั้งปวงแล้วให้เล่าปี่ยกเข้าตีด้านเหลือ ให้ซุนเกี๋ยนยกเข้าตีด้านใต้ แล้วจูฮีนั้นยกเข้าตีด้านตะวันตกเมืองอ้วนเซีย ไว้ช่องแต่ด้านตะวันออก แลซุนเกี๋ยนนั้นปีนกำแพงเมืองอ้วนเซียเข้าไปไล่ฟันพวกโจรบนเชิงเทินตายยี่สิบเศษ แลพวกโจรทั้งปวงตกใจแตกไป ฝ่ายเตียวฮ่องเห็นซุนเกี๋ยนปีนกำแพงเมืองขึ้นมาฆ่าฟันพรรคพวกตายก็โกรธ จึงม้าถือง้าวมาจะรบด้วยซุนเกี๋ยน ซุนเกี๋ยนเห็นเตียวฮ่องขี่ม้ามาถึงริมเชิงเทิน ซุนเกี๋ยวจึงโจนด้วยกำลังไปชิงเอาง้าวได้ แล้วฟันเตียวฮ่องตกม้าตาย จับเอาม้านั้นมาขี่แล้วขับม้าไล่ฟันพวกโจรทั้งนั้นแตกตื่นไป ฝ่ายซุนต๋งเห็นจะต่อสู้ด้วยซุนเกี๋ยนมิได้ ก็ขี่ม้าพาพวกโจรทั้งนั้นจะหนีออกประตูด้านเหนือ พอเห็นเล่าปี่ตีกระหนาบเข้ามา ซุนต๋งตกใจคิดว่ากูครั้งนี้เห็นจะไม่พ้นมือเล่าปี่จะคิดเอาแต่รอดชีวิตเถิด ซุนต๋งก็ถอยเข้ามา เล่าปี่ก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกซุนต๋งตกม้าตาย ฝ่ายจูฮีเห็นก็ขับทหารทั้งปวงเข้าเมืองได้ ฆ่าพวกโจรตายประมาณหมื่นเศษ แล้วยกไปตีเมืองทั้งปวงซึ่งโจรรบได้ไว้นั้นถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็ค่อยอยู่เย็นเป็นสุข แล้วจูฮีก็ยกทัพกลับไปเมืองหลวงแจ้งเนื้อความแก่เสนาบดี แลเสนาบดีจึงเอาความกราบทูลแก่พระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ให้ปูนบำเหน็จจูฮีให้เป็นนายทหารใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า แล้วให้เป็นเจ้าเมืองโห้หล้ำ จูฮีจึงกราบทูลความชอบซุนเกี๋ยนกับเล่าปี่ซึ่งได้ทำการปราบโจร พระเจ้าเลนเต้ให้ซุนเกี๋ยนไปเป็นกรมการหัวเมือง แต่เล่าปี่นั้นมิได้ตรัสประการใด แต่เล่าปี่คอยท่าบำเหน็จอยู่ในเมืองหลวงนั้นประมาณเดือนเศษ มิได้สมความปราถนาก็เสียน้ำใจนัก
Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ
ขอบคุณครับ...ที่เอามาฝาก
ตอบลบ