ตอนที่ ๓
พระราชวังต้องห้าม |
ฝ่ายโฮจิ๋นรู้ในหนังสือตั๋งโต๊ะดังนั้น ก็ปิดไว้มิให้ขันทีสิบคนรู้ แล้วหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า จะให้ตั๋งโต๊ะเข้ามาดีหรือประการใด แตะถ้ายจึงว่าตั๋งโต๊ะมีน้ำใจดังเสือ ซึ่งจะให้เข้ามาในเมืองนี้เห็นจะมีอันตรายแก่คนทั้งปวง โฮจิ๋นจึงว่าท่านนี้จะคิดการใหญ่ด้วยเราไม่ได้ ได้ยินแต่ข่าวมิทันได้เห็นตัวเสือก็ครั่นคร้ามโลติดได้ยินจึงว่า ข้าพเจ้าได้เคยรู้น้ำใจตั๋งโต๊ะมาแต่ก่อนว่าเป็นคนหยาบช้า ถ้าปล่อยให้เข้ามาในเมืองเห็นจะเกิดจลาจลเหมือนคำแตะถ้ายว่าเป็นมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่าท่านทั้งปวงอย่าว่าเลยเราหาฟังไม่ โลติดกับแตะถ้ายแลขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้นก็เสียใจนัก ต่างคนต่างเวนตราจำนำเสีย แล้วก็ออกจากราชการไปอยู่ ณ บ้านเป็นอันมาก โฮจิ๋นจึงแต่งคนว่ามีรับสั่งให้ออกไปรับตั๋งโต๊ะมาตั้งอยู่ตำบลลุดคี นอกกำแพงเมือง
ฝ่ายขันทีสิบคนครั้นรู้ว่าตั๋งโต๊ะยกทหารมาตั้งอยู่นอกเมืองแล้ว จึงคิดกันว่าเหตุทั้งนี้เพราะโฮจิ๋นคิดอ่านแอบรับสั่ง ให้กองทัพหัวเมืองยกมาทำร้ายแก่เรา ครั้นเราจะนิ่งอยู่บัดนี้อันตรายก็จะถึงชีวิตเรา จำเราจะคิดฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อน ครั้นคิดกันแล้วจึงแต่งคนสนิทห้าสิบคนถือศัสราวุธจึงสั่งว่า ถ้าเห็นโฮจิ๋นเข้ามาก็ให้ฆ่าเสียเถิด แล้วก็พาพวกห้าสิบคนลอบเข้าไปแอบอยู่ข้างซุ้มประตูวังข้างใน เตียวเหยียงก็เข้าไปทูลนางโฮเฮาว่า โฮจิ๋นแอบรับสั่งให้หากองทัพหัวเมืองเข้ามาจะจับเอาข้าพเจ้าทั้งสิบคนไปฆ่าเสีย ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่พระองค์จะช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้ นางโฮเฮาจึงว่าให้ออกไปอ้อนวอนง้องอนโฮจิ๋นเถิด โฮจิ๋นจะมีความกรุณาอยู่ เห็นจะไม่ทำอันตรายดอก เตียวเหยียงจึงทูลว่า โฮจิ๋นนั้นมีใจชังข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าออกไปหานั้นเหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามาตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าต่อพระโอษฐ์ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์ นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมีความกรุณา จึงให้ไปหาโฮจิ๋นเข้ามา ฝ่ายโฮจิ๋นเมื่อจะเข้าไปหานางโฮเฮานั้น ตันหลิมห้ามว่า ซึ่งนายโฮเฮาให้มาเชิญนี้ข้าพเจ้าแคลงอยู่ เข้าไปเห็นจะมีอันตราย โฮจิ๋นจึงตอบว่า นางโฮเฮากับเราเป็นพี่น้องกัน ซึ่งจะคบคิดเป็นใจด้วยขันทีนั้นผิดไป อ้วนเสี้ยวจึงว่าการซึ่งคิดไว้นั้นเห็นขันทีสิบคนจะรู้ตระหนัก ซึ่งจักเข้าไปนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าถ้าท่านจะเข้าไปก็ไปเถิด แต่ให้ตัวขันทีสิบคนออกมาเสียจากวังก่อน ท่านจึงจะไม่มีอันตราย โฮจิ๋นได้ยินสามคนว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า เราเป็นผู้สำเร็จราชการอยู่ในแผ่นดินหาผู้ใดเสมอมิได้ แลขันทีสิบคนนี้ความคิดความอ่านกล้าหาญเป็นกระไรจะอาจทำร้ายแก่เราได้ อ้วนเสี้ยวจึงว่า ท่านจะขืนเข้าไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปด้วย อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องคุมทหารห้าร้อยเข้าไปอยู่ที่ประตูวังข้างหน้า อ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่เข้าไปกับโฮจิ๋นถึงประตูข้างใน โปอี้นายประตูจึงห้ามอ้วนเสี้ยวกับโจโฉไว้แต่ภายนอก โฮจิ๋นจึงเดินเข้าไปแต่ผู้เดียว ครั้นถึงซุ้มประตูภายใน เตียวเหยียง ต๋วนกุยเห็นโฮจิ๋นเข้ามา จึงเดินขวางหน้าออกไปพยักให้พวกห้าสิบคนล้อมโฮจิ๋นเข้าไว้ แล้วเตียวเหยียงร้องว่าตัวแต่ก่อนนั้นก็เป็นผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวพิดทูล ตัวจึงได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่านางตังไทฮอซึ่งเป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้อันหาความผิดมิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบรับสั่งออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาจะจับเราซึ่งมีคุณแก่ตัวฆ่าเสียนั้นตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่ กลับว่าเราเป็นศัตรูราชสมบัติอีกเล่า ตัวจะทำร้ายกูแล้วกูจะเอาชีวิตมึงเสียบัดนี้ก่อน
ครั้นโฮจิ๋นเห็นวุ่นวายดังนั้นก็ตกใจ จะแลหาที่พึ่งก็มิได้ เหลียงหลังดูประตูก็ปิดเสีย แลคนห้าสิบคนก็ฆ่าโฮจิ๋นตาย ฝ่ายอ้วนเสี้ยว โจโฉคอยอยู่นอกประตูเห็นช้านัก จึงเรียกโฮจิ๋นเข้าไปว่า เชิญออกมาจงเร็วเถิด เตียวเหยียงได้ยินดังนั้นจึงตัดศีรษะโฮจิ๋นโยนออกไปแล้วร้องว่า โฮจิ๋นนี้คิดขบถเราฆ่าเสียแล้วเอาแต่ศีรษะไปเถิด ผู้ใดซึ่งมิได้ร่วมคิดเป็นขบถด้วยนั้นก็ให้เร่งกลับไปที่อยู่อย่ามาวุ่นวายเลย อ้วนเสี้ยว โจโฉได้ยินดังนั้น จึงร้องประกาศว่าโฮจิ๋นเป็นเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ ขันทีสิบคนคบคิดกันฆ่าโฮจิ๋นเสียนั้น เราจะทำลายประตูวังเข้าไปฆ่าขันทีสิบคนเสีย ผู้ใดจะเข้าด้วยเราบ้าง เง่าของเป็นทหารโฮจิ๋นซึ่งมากับอ้วนสุด ครั้นได้ยินอ้วนเสี้ยว โจโฉร้องประกาศดังนั้น ก็เอาเพลิงจุดประตูวังขึ้น แล้วอ้วนสุดก็คุมทหารเข้ามาในวัง พบขันทีเลวทั้งปวงก็จับฆ่าเสีย อ้วนเสี้ยวโจโฉก็ฟันประตูวังเข้าไป แลเตียงต๋งหนึ่ง เทียควงหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง กุยเสงหนึ่ง ขันทีสี่คนเห็นอ้วนเสี้ยว โจโฉทำลายประตูวังเข้ามา ก็วิ่งหนีเข้าไปในสวนดอกไม้ อ้วนเสี้ยว โจโฉก็ไล่ตามเข้าไปฆ่าเสีย แล้วสับเนื้อขันทีสี่คนละเอียดมิให้กากลืนแค้น แลเพลิงนั้นก็ไหม้ลามเข้าไปถึงที่ข้างใน เตียวเหยียงหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เทาเจียดหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เห็นเพลิงไหม้ลามเข้ามา จึงพานางโฮเฮากับหองจูเปียน หองจูเหียบหนีร้นเข้าไปที่เพลิงยังไม่ถึงนั้น
ฝ่ายโลติดซึ่งออกจากที่ขุนนาง ครั้นเห็นเพลิงไหม้ในพระราชวังก็แต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธยืนแอบประตูท้ายสนมอยู่ ครั้นแลเข้าไปเห็นต๋วนกุยพานางโฮเฮาหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ดังนั้น จึงร้องเข้าไปว่าอ้ายศัตรูราชสมบัติ มึงจะพานางโฮเฮาไปไหน ต๋วนกุยได้ยินแลไปเห็นโลติดก็ตกใจกลัววิ่งหนีเอาตัวรอด แลนางโฮเฮาก็ตกใจโดดลงมาจากชาลา โลติดวิ่งเข้ารับทัน ฝ่ายเง่าของคุมทหารเข้าไปถึงในวังพบโฮเบี้ยว เง่าของจึงร้องว่าอ้ายนี่ศัตรูราชสมบัติ มึงคบคิดกับขันทีสิบคนฆ่าโฮจิ๋นผู้พี่เสีย เราฆ่าอ้ายนี่เสียจึงจะชอบ แล้วให้ทหารล้อมจับโฮเบี้ยวฆ่าเสียในที่นั้น ขุนนางแลทหารทั้งปวงมาเข้ากับอ้วนเสี้ยว โจโฉเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงใช้ทหารกองหนึ่งออกไปล้อมบ้านขันทีสิบคน จับพรรคพวกชายหญิงใหญ่น้อยฆ่าเสียสิ้น โจโฉจึงคุมทหารเข้าดับเพลิงซึ่งไหม้วังนั้น แล้วจึงเชิญเสด็จนางโฮเฮามาให้ว่าราชการเมืองอยู่พลาง ครั้นเวลาค่ำต๋วนกุยซึ่งหนีไปพบเตียวเหยียง จึงชวนกันพอหองจูเปียน หองจูเหียบหนีออกไปนอกเมืองซุ่มอยู่ ณ ป่าเชิงเขาปักคูสาน
กวนอู |
ฝ่ายหองจูเปียน หองจูเหียบซึ่งขันทีทิ้งเสียในป่า ครั้นได้ยินเสียงพลอื้ออึงมาก็ตกใจกลัว ครั้นเวลาสามยามน้ำค้างตกหนัก จึงปรึกษากันว่าเราจะอยู่ที่นี่มิได้จำจะหนีไปให้พ้นภัย แล้วก็พากันบุกป่าไปในเวลากลางคืนมืดมิได้เห็นหนทาง มิรู้ที่จะไปแห่งใดจึงเอาชายเสื้อทรงผิกกันเข้าไว้ พอเห็นหิ่งห้อยบินนำหน้าไปเป็นหมู่ก็เห็นทาง จึงพากันไปตามแสงหิ่งห้อย หองจูเหียบผู้น้องจึงว่าหิ่งห้อยนี้เป็นเทพดาช่วยนำทางให้เราเป็นมั่นคง พระบาทพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ชอกช้ำพุพองเดินไปมิได้ เห็นกองหญ้ากองหนึ่งก็พากันเข้าหยุดนอนอยู่ ที่นั้นมีบ้านตำบลหนึ่ง นายบ้านนั้นชื่อซุยก๊ก ในเวลากลางคืนนั้นซุยก๊กฝันว่า เห็นพระอาทิตย์สองดวงตกอยู่ที่หลังบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นซุยก๊กเดินออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน เห็นรัศมีสว่างที่ตรงกอหญ้าจึงเดินเข้าไปดู เห็นพระราชบุตรทั้งสองนอนอยู่ จึงปลุกขึ้นถามว่าท่านนี้มาแต่แห่งใด หองจูเหียบจึงบอกว่า นั่นชื่อหองจูเปียนซึ่งเสวยราชย์ในเมืองลกเอี๋ยง เราเป็นน้องชื่อตันลิวอ๋อง เป็นเหตุเพราะขันทีสิบคนบ้านเมืองจึงเกิดจลาจลวุ่นวาย เราจึงหนีภัยมาอาศัยอยู่ที่นี้ ซุยก๊กนายบ้านได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วทูลว่าข้าพเจ้าชื่อซุยก๊ก แต่ก่อนนั้นก็ได้ทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ครั้งพระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดาแห่งพระองค์ อ้ายขันทีสิบคนมันมาทำหยาบช้าต่างๆ ข้าพเจ้าจึงออกจากราชการมาทำมาหากินอยู่ที่นี่แล้วซุยก๊กจึงเชิญเสด็จเข้าไปบ้าน แล้วแต่งที่อยู่แลเครื่องเสวยถวาย พระราชบุตรทั้งสองก็อาศัยอยู่ ณ บ้านซุยก๊ก
ฝ่ายบินของก็ยกล่วงเข้ามา พอพบต๋วนกุยขันทีจึงจับเอาตัวมาถามว่า เกิดจลาจลครั้งนี้เพราะพวกมึงทั้งสิบคน บัดนี้มึงพาพระราชบุตรทั้งสองไปไว้แห่งใดต๋วนกุยจึงบอกว่าเมื่อเกิดเพลิงขึ้นในพระราชวัง ข้าพเจ้าพาพระราชบุตรหนีเข้ามาอยู่ในป่า ครั้นได้ยินเสียงทหารอื้ออึมา ข้าพเจ้าตกใจกลัวต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด บินของได้ฟังก็โกรธจึงให้ฆ่าต๋วนกุยเสียแล้วตัดเอาศีรษะผูกคอม้ามา จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ยกแยกกันไปเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสอง บินของก็ขี่มาเที่ยวค้นในป่ามาจนถึงหน้าบ้านซุยก๊ก
ฝ่ายซุยก๊กเห็นศีรษะต๋วนกุยก็วิ่งออกมาถามบินของว่า ท่านจับต๋วนกุยได้แห่งใดจึงตัดเอาศีรษะผูกคอม้ามา บินของจึงบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟังสิ้น แล้วว่าข้าจะมาเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสององค์ ซุยก๊กก็พาเข้าไปเฝ้าในบ้าน แล้วซุยก๊กกับบินของจึงทูลพระราชบุตรทั้งสองว่า อย่างธรรมเนียมในเมืองหลวง ถ้าหาเจ้าเสวยราชสมบัติแต่วันหนึ่งไม่ บ้านเมืองมักเกิดอันตราย ขอเชิญเสด็จเข้าไปเสวยราชสมบัติอยู่ดังเก่า แผ่นดินจึงจะเป็นปรกติสืบไป พระราชบุตรทั้งสององค์เห็นชอบด้วย ซุยก๊กกับบินของก็ผูกม้าถวายสองม้าแล้วเชิญเสด็จไป ครั้นมาทางประมาณสามร้อยเส้น พอพบอ้องอุ้นหนึ่ง อิวปิ๋วหนึ่ง ซุนเขนหนึ่ง เตี๋ยวเปงหนึ่ง เปาสุ้นหนึ่ง อ้วนเสี้ยวหนึ่ง คุมทหารประมาณห้าร้อย ครั้นเห็นพระราชบุตรทั้งสองมา ก็ลงจากม้าร้องไห้เข้าไปรับเสด็จ แล้วซุยก๊กกับบินของก็เล่าเนื้อความให้ฟัง ขุนนางทั้งหกคนแจ้งแล้ว จึงเอาศีรษะต๋วนกุยขันทีให้ม้าใช้เอาเข้าไปประกาศแก่ราษฎรในเมืองหลวง แล้วแต่งรถรับเสด็จพระราชบุตรทั้งสอง ไปทางประมาณร้อยเส้นเศษพบทหารกองหนึ่งยกมาเป็นอันมากมิได้รู้ว่าเป็นทัพผู้ใดขุนนางทั้งปวงตกใจ แต่อ้วนเสี้ยวนั้นขี่ม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องถามว่าทัพผู้ใดยกมา ทหารมิได้ตอบประการใด แลตั๋งโต๊ะได้ยินก็ขับม้าเข้ามาหน้าทหารแล้วร้องถามว่า พระราชบุตรอยู่แห่งใด มาด้วยในกองทัพนี้หรือหาไม่ หองจูเปียนตกใจนิ่งอยู่ แต่หองจูเหียบผู้น้องจึงร้องบอกว่า ทัพผู้ใดมาถามหาหองจูเปียน ตั๋งโต๊ะบอกว่าข้าพเจ้าชื่อตั๋งโต๊ะเป็นเจ้าเมืองซีหลง หองจูเหียบจึงว่า มานี้จะขบถหรือจะประสงค์สิ่งใด ตั๋งโต๊ะจึงว่าข้าพเจ้ามิได้เป็นขบถ จะมารับเสด็จดอก หองจูเหียบจึงว่าจะมารับเสด็จแล้วเป็นไฉนจึงไม่ลงจากม้าเล่า ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากม้าแล้วเข้ามากราบถวายบังคม หองจูเหียบจึงว่าท่านนี้มิเสียแรงเป็นขุนนางใหญ่ใจสัตย์ซื่อคำต้นกับคำปลายต้องกัน ตั๋งโต๊ะได้ยินดั้งนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า หองจูเหียบมีสติปัญญาพูดจาหลักแหลมนัก กูจะคิดอ่านยกหองจูเปียนออกเสีย จะให้หองจูเหียบเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองลกเอี๋ยง แลตั๋งโต๊ะกับขุนนางทั้งปวงส่งพระราชบุตรทั้งสองเข้าไปถึงในวัง แล้วตั๋งโต๊ะก็กลับออกไปตั้งทัพอยู่นอกเมือง
ฝ่ายนางโฮเฮาครั้นเห็นพระราชบุตรกลับมาได้ก็มีความยินดี จึงได้ตรวจตราเครื่องอานทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังก็ดีอยู่สิ้น หายไปแต่ตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง แลตั๋งโต๊ะนั้นคุมทหารมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงเนืองๆ อยู่ แลพรรคพวกทั้งปวงเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงของอาณาประชาราษฎรเป็นอันมากผู้ใดมิได้ว่ากล่าว แลตั๋งโต๊ะเข้าเฝ้ามิได้คำนับเสนาบดีผู้ใหญ่ เปาสิ้นเห็นดังนั้นไปปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า ตั๋งโต๊ะนี้นานไปเห็นจะทำการกำเริบขึ้น เราจำจะคิดล้างมันเสียให้ได้ก่อน อ้วนเสี้ยวจึงว่าการแผ่นดินพึ่งสงบ ครั้นเราจะด่วนทำดังนั้นไม่ควร เปาสิ้นจึงไปหาอ้องอุ้นปรึกษาเหมือนว่ากับอ้วนเสี้ยวนั้น อ้องอุ้นจึงว่าคิดดังนี้ก็ชอบอยู่แล้ว ของดแต่พอปรึกษากันดูก่อน เปาสิ้นคิดความมิตลอดมีความน้อยใจ ก็พาพรรพวกออกไปอยู่ป่า
ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงเกลี้ยกล่อมนายทหารทั้งปวงซึ่งอยู่กับโฮจิ๋นแต่ก่อนนั้นเข้าอยู่ในอำนาจสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงกำเริบขึ้น แล้วปรึกษากับลิยูว่า เราจะยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ราชการแลขุนนางทั้งปวงก็จะเป็นสิทธิ์แก่เราภายหน้าไปจคิดการสิ่งใดก็จะได้สะดวก ลิยูจึงตอบว่า ทุกวันนี้มีเจ้าก็เหมือนหนึ่งหาไม่ เสนาบดีสำเร็จราชการก็ไม่มี แผ่นดินพึ่งสงบ ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ให้ท่านเร่งคิดทำเถิด แล้วว่าให้ท่านหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไป ณ สวนดอกไม้ตำบลอุนเบงหุ้ย ถ้าขุนนางพร้อมแล้วจึงปรึกษาว่า จะให้ยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ถ้าขุนนางผู้ใดไม่ยอมก็ให้จับตัวฆ่าเสีย ท่านก็จะมีอาญาสิทธิ์สืบไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก
อยู่มาวันหนึ่งให้แต่งโต๊ะ แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมา แลขุนนางทั้งปวงเกรงตั๋งโต๊ะสิ้น ก็พากันไป ณ สวนดอกไม้นั่งล้อมจะกินโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นขุนนางพร้อมแล้วก็ถือกระบี่ออกมา จึงห้ามว่าอย่าเพ่อเสพย์สุรา เราจะปรึกษาราชการข้อหนึ่งก่อน ขุนนางทั้งปวงก็นิ่งคอยฟังอยู่สิ้น ตั๋งโต๊ะจึงว่าทุกวันนี้หองจูเปียนได้เสวยราชสมบัติ อุปมาดังศีรษะแลหัวใจเสนาบดีกับอาณาประชาราษฎรทั้งปวง แต่ไม่มีสง่าอาญาสิทธิ์ให้ขุนนางแลราษฎรเกรงกลัว บัดนี้เราเห็นหองจูเหียบมีสติปัญญาแหลมหลักกล้าหาญ เราจะให้ถอดหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข ท่านทั้งปวงจะเป็นประการใดขุนนางทั้งนั้นนิ่งเสียสิ้น แต่เต๊งหงวนเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วนั้นยืนขึ้นแล้วร้องว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ตัวเป็นแต่ขุนนางหัวเมืองมาทำองอาจจะถอดเจ้าเสีย แลหองจูเปียนนั้นเป็นพระราชบุตรเอก พระเจ้าเลนเต้จึงยกราชสมบัติให้ แลหองจูเปียนมิได้มีความผิดตัวคิดอ่านทั้งนี้จะเป็นขบถหรือจึงว่ากล่าวดังนี้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องว่า เราปรึกษาราชการที่ดีสิไม่เห็นด้วย ผู้ใดซึ่งองอาจเข้ามาว่ากล่าวขัดขวางนั้นกูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ แล้วก็ถอดกระบี่ออกจะฆ่าเต๊งหงวนเสีย ลิยูเห็นลิโป้ยืนอยู่ข้างหลัเต๊งหงวนนั้น รูปร่างสูงใหญ่มือถือทวน ท่วงทีเห็นแข็งแรงนัก ลิยูจึงห้ามตั๋งโต๊ะไว้แล้วว่า วันนี้หาท่านทั้งปวงมากินโต๊ะจะฟังขับลำให้สบายใจสิมาวิวาททุ่มเถียงกันเล่า สิ้นวันแล้วหรือ ถ้าจะปรึกษากันก็งดไว้ก่อนเถิดจึงค่อยไปปรึกษา ณ ศาลาลูกขุน วันนี้เชิญกินโต๊ะเล่นดีกว่า แลขุนนางทั้งนั้นก็ห้ามเต๊งหงวน เต็งหงวนก็ขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป
ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เราปรึกษาเมื่อกี้นั้นท่านทั้งนี้เห็นผิดหรือชอบ โลติดจึงตอบตั๊งโต๊ะว่า ท่านปรึกษาข้อราชการนั้นผิดนัก พระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดาเห็นว่าหองจูเปียนมีสติปัญญา แล้วก็เป็นพระราชบุตรเอกจึงให้เสวยราชสมบัติ ตัวท่านเป็นขุนนางหัวเมืองมิได้แจ้งกฎหมายในพระราชฐาน จะมาถอดหองจูเปียนซึ่งมิได้มีความผิดเสียนั้นไม่ชอบ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันโลติดเสีย แพ่เป๊กจึงห้ามว่า โลติดนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน น้ำใจก็สัตย์ซื่อมั่นคง ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรมีน้ำใจรักโลติดเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะฆ่าโลติดเสียนั้น เห็นว่าราษฎรทั้งปวงจะมีความเดือดร้อนนัก แล้วอ้องอุ้นจึงว่าวันนี้เป็นหน้าเหล้าหน้าข้าวอยู่ ถ้าจะปรึกษาข้อราชการก็ให้งดไว้วันอื่นเถิด ขุนนางทั้งปวงก็ลาตั๋งโต๊ะกับไปสิ้น
ฝ่ายลิโป้ครั้นไปถึงที่อยู่กับเต๊งหงวนแล้ว จึงถือทวนขี่ม้ากลับมาคอยฟังราชการ ณ สวนดอกไม้ แต่ตั๋งโต๊ะนั้นครั้นขุนนางไปสิ้นแล้ว ก็ถือกระบี่เดินออกไป ณ ประตูสวนดอกไม้ แลเห็นลิโป้ขี่ม้าควบไปมาอยู่ริมระเนียด จึงถามลิยูว่าทหารผู้ใด ลิยูจึงว่าให้ท่านหลบเข้ามาเสียก่อนแล้วบอกว่า คนนี้ชื่อลิโป้เป็นบุตรเลี้ยงเต๊งหงวน มีกำลังกล้าแข็งนัก ตั๋งโต๊ะก็ถอยเข้ามา ครั้นเวลารุ่งเช้ามีผู้มาบอกตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้เต๊งหงวนกับลิโป้คุมทหารยกมาจะรบด้วยท่าน ตั๋งโต๊ะโกรธก็จัดแจงทหารแล้วยกออกไปตั้งรับ
ฝ่ายเต๊งหงวนกับลิโป้มายืนอยู่หน้าทหาร เห็นตั๋งโต๊ะยกมาจึงร้องว่า ครั้งก่อนอ้ายเหล่าขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดินจนเกิดอันตรายขึ้น บ้านเมืองพึ่งจะสงบ แลตัวเป็นแต่ขุนนางหัวเมืองยังมิได้มีความชอบประการใด มาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่คิดบังอาจจะถอดหองจูเปียนเสีย จะให้แผ่นดินเกิดจลาจลเหมือนครั้งขันทีนั้นหรือ ตั๋งโต๊ะมิได้ตอบประการใด พอลิโป้ควบม้ารำทวนเข้ามาจะแทงเอาตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นก็กลัวถอยหลังไปหลังทหาร เต๊งหงวนก็ขับทหารหนุนไล่ฟันขึ้นไป ตั๋งโต๊ะกับทหารก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าสิบเส้นจึงให้ตั้งค่ายมั่นรับไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงปรึกษากับนายทหารซึ่งเป็นพรรคพวกว่าแต่เราเห็นผู้กระทำศึกมานี้ก็เป็นอันมาก ไม่มีผู้ใดเข้มแข็งกล้าหาญเหมือนลิโป้เลย ถ้าเราได้ลิโป้มาไว้เป็นทหารของเราการทั้งปวงก็จะคิดได้สะดวก ลิซกนายทหารคนหนึ่งจึงว่า ข้าพเจ้ากับลิโป้อยู่บ้านเดียวกัน แล้วก็เป็นมิตรสหายวิสาสะกัน อันลิโป้นั้นกล้าแข็งก็จริง แต่เป็นคนใจหยาบช้าหารู้จักคุณค่าไม่ โลภเห็นแต่จะได้สิ่งของอันดี ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมลิโป้ให้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าท่านจะไปเกลี้ยกล่อมลิโป้นั้นประการใดจะได้ ลิซกจึงตอบว่าขอให้ท่านจัดทรัพย์สิ่งของอันดี กับม้าซึ่งชื่อว่าเซ็กเธาว์อันมีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้นมาเถิด ข้าพเจ้าจะเอาไปให้ลิโป้ แล้วจะเกลี้ยกล่อมให้ลิโป้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นจึงปรึกษากับลิยูว่า ซึ่งลิซกว่ากล่าวทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใดลิยูจึงว่าท่านสิจะคิดการใหญ่ เสียดายกับสิ่งของกับม้าตัวหนึ่งไยเล่า ถ้าสมความคิดแล้วท่านจะปราถนาสิ่งใดก็จะได้โดยสะดวก ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่งกับม้าซึ่งชื่อเซ็กเธาว์ให้แก่ลิซกแล้วสั่งว่าท่านเอาไปให้ลิโป้ตามท่านคิดนั้นเถิด ลิซกรับของทั้งปวงกับม้าแล้วก็ลาตั๋งโต๊ะไปยังค่ายเต็งหงวน พอพบบ่าวลิโป้ออกมาตระเวนจึงจับเอาตัวลิซกไว้ถามว่ามาทำไม ลิซกบอกว่าเราชื่อลิซกเป็นเพื่อนรักกันกับลิโป้มาแต่น้อย บัดนี้ระลึกถึงลิโป้จึงมาหา ท่านทั้งปวงช่วยพาเราไปหาลิโป้จงได้ ทหารกองตระเวนจึงให้คุมเอาตัวไว้ แล้วเอาเนื้อความไปบอกลิโป้ ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงออกมารับลิซกเข้าไปถึงในค่าย แล้วจึงว่าเรากับท่านรักกันมาแต่น้อย จากกันมาช้านานแล้ว บัดนี้ท่านมาอยู่ทำราชการตำแหน่งใดลิซกจึงตอบว่าเราเป็นตงลงเจี้ยงนายทหาร รู้ว่าท่านทำราชการเป็นนายทหารแล้วได้ช่วยอาสาแผ่นดินทั้งนั้น เรามีความยินดีด้วย หาสิ่งใดจะให้มิได้ มีแต่ม้าตัวนี้ชื่อเซ็กเธาว์ มีฝีเท้าเดินทางได้วันละหมื่นเส้น ถ้าขึ้นเขาแลข้ามน้ำก็เหมือนกับเดินที่ราบ ท่านจงเอาไว้เถิดจะได้ทำราชการอาสาแผ่นดินสืบไป ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงจูงเอาม้ามาดูลักษณะ เห็นจนนั้นแดงดังถ่านเพลิงทั่วทั้งตัวมิได้มีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษ ได้ลักษณะเป็นม้าศึก เข้มแข็งกล้าหาญ ลิโป้มีความยินดีนัก คำนับแล้วว่าท่านเอาม้าตัวนี้มาให้เรานี้ เราชอบใจสมความปราถนาเรานักยิ่งกว่าให้ทรัพย์สิ่งของทั้งปวง เรามิได้มีสิ่งของสนองคุณท่านเลย ลิซกจึงตอบว่าซึ่งเราเอาม้ามีฝีเท้ามาให้ท่านทั้งนี้ จะได้คิดเอาสิ่งของตอบหามิได้ คิดว่าท่านเป็นทหารทำราชการซื่อสัตย์อยู่จึงเอามาให้
ลิโป้จึงให้แต่งโต๊ะ แล้วเชิญให้ลิซกกิน ขณะเมื่อลิซกเสพย์สุราอยู่นั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านผู้ใหญ่นั้นอยู่แห่งใด เอ็นดูช่วยพาเราไปหาเราจะได้คำนับให้ท่านรู้จักไว้ ลิโป้ตอบว่าท่านอยู่หนไหนไม่รู้ บิดาเราตายช้านานแล้ว ลิซกจึงว่าจงไปหาเต๊งหงวนซึ่งเป็นบิดาท่าน ลิโป้จึงขับคนทั้งปวงเสีย แล้วค่อยกระซิบว่าท่านเสพย์สุราเมากระมัง เรากับท่านรู้จักบิดามารดากันมาแต่น้อย เป็นไฉนจึงว่าดังนี้เล่า ซึ่งเรามาอยู่กับเต๊งหงวนทุกวันนี้เรียกว่าเป็นบิดานั้น เพราะจำใจอยู่ดอก ลิซกจึงว่าท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญในการสงครามลือชาปรากฏทุกหัวเมืองจะคิดเอาสิ่งใดก็จะได้ดังปราถนา เป็นไฉนมาจำใจอยู่ดังนี้ ลิโป้ตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็จริงอยู่ แต่เราแสวงหาที่พึ่งจะเป็นหลักนั้นยังมิได้ ลิซกยิ้มแล้วจึงตอบว่า ธรรมดานกก็ย่อมอาศัยป่าซึ่งมีผลไม้มากจึงเป็นสุข ประเพณีขุนนางทำราชการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมแล้วก็มีความสุข ซึ่งท่านว่าจำใจอยู่ด้วยเต๊งหงวนนั้นจะเอาประโยชน์อันใด ภายหน้าไปเห็นจะมีอันตราย จงผ่อนผันหาที่อยู่ให้เป็นสุขดีกว่า
ฝ่ายลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงถามลิซกว่า ท่านสิทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ยังเห็นขุนนางผู้ใดกล้าหาญสัตย์ซื่อว่ากล่าวสิทธิ์ขาดบ้าง ลิซกจึงตอบว่า เราเล็งดูขุนนางในเมืองหลวงนั้น ซึ่งจะมีสติปัญญากล้าแข็งหาพร้อมเหมือนตั๋งโต๊ะไม่ อันตั๋งโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญากล้าหาญสัตย์ซื่อมั่นคง แล้วน้ำใจก็รักทหารปูนบำเหน็จให้มิได้รักทรัพย์สิ่งของ เอาใจคนเป็นประมาณ สืบไปข้างหน้าเห็นตั๋งโต๊ะจะได้เป็นใหญ่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นมีความยินดี จึงตอบว่า เราก็คิดอยู่จะหาที่พึ่งดังนี้ แต่หาช่องซึ่งจะไปนั้นยังมิได้ ลิซกนั้นจึงเอาทองกับพลอยแลเข็มขัดนั้นมาตั้งไว้ ลิโป้เห็นจึงถามว่า ของทั้งนี้ท่านเอามาทำไม ลิซกจึงบอกว่า ตั๋งโต๊ะมีน้ำใจรักใคร่ท่านเป็นอันมาก จึงให้เราเอาม้าแลของทั้งนี้มาให้แก่ท่าน ลิโป้เป็นคนโลภ ครั้นเห็นของก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะมีใจรักเรา ให้เอาม้าแลสิ่งของมาให้เราทั้งนี้ เราจะมีสิ่งอันใดไปสนองคุณท่าน ลิซกจึงตอบว่า แต่ตัวเรามีฝีมือเป็นประมาณ ตั๋งโต๊ะยังมีใจรักช่วยเสนอความชอบให้ เราจึงได้เป็นนายทหาร แลตัวท่านมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญยิ่งกว่าเรา ถ้าไปอยู่ด้วยเห็นจะได้เป็นขุนนางใหญ่ขึ้นกว่านี้ ลาภสักการความสุขก็จะมีเป็นอันมาก ลิโป้จึงตอบว่า เราจะเอาความชอบอันใดไปเป็นกำนัลตั๋งโต๊ะ ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านจะเอาความชอบนั้นก็ได้ง่าย เกรงอยู่แต่ว่าท่านจะไม่ทำ ถ้าท่านจะทำแล้วก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียว ลิโป้ได้ยินก็นิ่งคิดอยู่ แล้วตอบว่า อันจะเอาความชอบสิ่งใดไปนั้นก็ไม่มี แลเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะผิดใจกันอยู่ เราจะตัดศีรษะเต๊งหงวนไปเป็นกำนัลตั๋งโต๊ะ เห็นจะควรหรือไม่ควร ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านดังนี้ความชอบจะมีแก่ท่านเป็นอันมาก แลซึ่งจะคิดทำนั้นก็อย่านอนใจ ถ้าช้าไปเกลือกจะเสียท่วงทีลิโป้จึงรับคำว่า ท่านไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะเถิด พรุ่งนี้เราจะตัดศีรษะเต๊งหงวนไปให้ตั๋งโต๊ะ ตัวเราก็จะอยู่ทำราชการด้วย ลิซกก็ลากลับไปบอกเนื้อความแก่ตั๋งโต๊ะทุกประการ ครั้นเวลาค่ำประมาณสองยามเศษ ลิโป้จึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเดินเข้าไปในที่นอนเต๊งหงวน เห็นเต๊งหงวนอ่านหนังสืออยู่
ฝ่ายเต๊งหงวนครั้นเห็นลิโป้เข้ามาจึงถามว่า ลูกเอ๋ยเข้ามาทำไม ลิโป้จึงร้องตอบว่า ตัวกูก็เป็นชายมีฝีมือลือชาปรากฎ ซึ่งมึงจะมาเรียกกูว่าลูกนั้นไม่สมควร เต๊งหงวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่า เป็นไฉนเจ้าจึงคิดกลับใจเป็นดังนี้ ลิโป้มิได้ตอบประการใด ชักกระบี่ออกวิ่งเข้าฟันเอาเต๊งหงวนตาย ตัดเอาศีรษะหิ้วไว้ แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เต๊งหงวนนี้มิได้มีใจสัตย์ซื่อ ทำการหยาบช้า บัดนี้เราฆ่าตายเสียแล้ว ทหารทั้งปวงใครจะยอมอยู่ด้วยก็ตาม หรือผู้ใดจะกลับไปบ้านเมืองก็ไป แลทหารทั้งปวงได้ฟังลิโห้ร้องประกาศดังนั้น ซึ่งมีใจชังลิโป้นั้นก็แตกตื่นไปประมาณกึ่งหนึ่ง แต่ซึ่งมีใจรักนั้นก็เข้าอยู่กับลิโป้ประมาณกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงขึ้นม้า หิ้วเอาศีรษะเต๊งหงวนไปหาลิซก ณ ค่ายตั๋งโต๊ะ ลิซกครั้งเห็นลิโป้หิ้วเอาศีรษะเต๊งหงวนมาก็ดีใจ จึงพาลิโป้ไปหาตั๋งโต๊ะ
ฝ่ายตั๋งโต๊ะเห็นลิซกพาลิโป้ซึ่งหิ้วศีรษะเต๊งหงวนเข้ามาก็มีความยินดี เดินออกมารับลิโป้แล้วว่า ตัวเรานี้อุปมาเหมือนทำนาตกกล้าลงแล้วฝนแล้งกล้านั้นใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้เหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื้นขึ้นใบนั้นเขียวสดขึ้น ลิโป้เห็นตั๋งโต๊ะคุกเข่าลงคำนับก็ตกใจ ลิโป้เข้าอุ้มเอาตั๋งโต๊ะขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับ จึงว่าข้าพเจ้านี้มีใจภักดีมาจะทำราชการด้วยท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาข้าพเจ้านั้นก็เห็นประจักษ์สิ้น ข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเป็นบิดากว่าจะสิ้นชีวิต ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงเอาเสื้ออย่างดีกับเกราะทองคำมาให้ลิโป้
ตั้งแต่ตั๋งโต๊ะได้ลิโป้มาไว้เป็นกำลัง จะคิดอ่านราชการสิ่งใดมีใจกำเริบหยาบช้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลทหารทั้งปวงในเมืองหลวงก็อยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะสิ้น แล้วให้ตั๋งบุ่นผู้น้องเป็นนายทหารซ้าย ให้ลิโป้ซึ่งเป็นบุตรเลี้ยงนั้นเป็นนายทหารขวา ตั๋งโต๊ะก็ยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมือง
ครั้นอยู่มาลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ราชการในเมืองหลวงทุกวันนี้ก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่านสิ้น ซึ่งจะคิดประการใดนั้นขอให้เร่งคิดเสียเถิด ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าตั๋งโต๊ะจึงให้ลิโป้คุมทหารพันเศษให้เข้าไปล้อมวงอยู่ในพระราชวัง แล้วตั๋งโต๊ะเข้าไปในที่เสด็จออก จึงสั่งให้แต่งโต๊ะหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะถือกระบี่เข้าไปร้องประกาศในที่ชุมนุมขุนนางทั้งปวงว่า หองจูเปียนนั้นหาสติปัญญามิได้ จะให้ถอดเสีย เราจะให้ตั้งหองจูเหียบซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมขึ้นเสวยราชสมบัติ ถ้าผู้ใดมิลงใจพร้อมด้วยเราจะฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงนิ่งอยู่สิ้น แต่อ้วนเสี้ยวนั้นลุกยืนขึ้นแล้วร้องว่าหองจูเปียนเป็นพระราชบุตรเอก พระราชบิดายกราชสมบัติให้หองจูเปียนเสวยราชย์ก็มิได้มีความผิดสิ่งใด ตัวจะมาถอดเสียแล้วจะยกหองจูเหียบพระราชบุตรโทขึ้นเสวยราชย์นั้น ตัวจะคิดอ่านเป็นขบถหรือ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า ราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา เราเห็นไม่ชอบจึงจะทำให้ชอบ ถ้าตัวมิฟังจะขืนขัดอยู่ฉะนี้ ตัวจงแลดูกระบี่ที่เราถืออยู่นี้จะคมหรือไม่ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่ากระบี่เราถือมาก็มีอยู่ ถ้าตัวมิฟังจะขืนตั้งหองจูเหียบขึ้นให้ผิดอย่างธรรมเนียมตัวจงดูกระบี่ซึ่งเราถือมานี้เห็นจะคมหรือไม่คมเล่า ตั๋งโต๊ะก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวก็ถอดกระบี่ออกจะสู้ตั๊งโต๊ะ ลิยูเห็นดังนั้นจึงเข้าห้ามตั๋งโต๊ะไว้ แล้วค่อยกระซิบว่า เราจะคิดการใหญ่อยู่ ครั้นจะฆ่าฟันกันขึ้นการซึ่งคิดไว้นั้นก็จะเสียไป ตั๋งโต๊ะก็ฟังลิยูห้าม ขุนนางทั้งปวงก็ห้ามอ้วนเสี้ยวไว้ อ้วนเสี้ยวจึงลาขุนนางทั้งปวงแล้วถือกระบี่เดินออกไป พาทหารแลพรรคพวกยกไปเมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่อ้วนหงุยผู้เป็นอาอ้วนเสี้ยวว่า อ้วนเสี้ยวทำองอาจขัดขวาง นี่หากว่าเราคิดถึงท่าน หาไม่เราจะฆ่าเสีย ซึ่งเราคิดการทั้งนี้ท่านยังเห็นชอบผิดประการใด อ้วนหงุยจึงว่า ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่คิดจะกลับแผ่นดินเสียนั้นก็เห็นชอบด้วย ตั๋งโต๊ะจึงว่าบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งพร้อมกันทั้งปวง ผู้ใดจะขัดขวางเราเหมือนอ้วนเสี้ยวนั้นเราจะฆ่าเสียบัดนี้ ขุนนางทั้งปวงกลัวตั๋งโต๊ะสิ้นจึงว่าท่านคิดทำการนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนก็ลาไปบ้าน
ฝ่ายตั๋งโต๊ะอยู่ในที่เฝ้าจึงถามเจียวปีกับเหงาเค่งว่า อ้วนเสี้ยวยกไปเมืองกิจิ๋วเห็นจะคิดอ่านประการใดบ้าง เจียวปีจึงว่า อ้วนเสี้ยวไปครั้งนี้ด้วยโกรธเห็นจะมีความคิดอยู่ อนึ่งแซ่อ้วนนั้นได้เป็นขุนนางต่อๆ กันมาถึงสี่ชั่วคน อาณาประชาราษฎรหัวเมืองทั้งปวงก็นับถืออ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก น้ำใจอ้วนเสี้ยวก็มานะเห็นจะเกลี้ยกล่อมผู้คนตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง เกรงแต่ว่าท่านจะปราบไปมิได้ ขอให้มีหนังสือรับสั่งให้ไปตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองตำบลหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวจะปรกติไปต่อท่าน
ฝ่ายเหงาเค่งจึงว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้นมีความคิดอยู่ แต่คิดสิ่งใดไม่ตลอด ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งเป็นเจ้าเมืองนั้น เหมือนหนึ่งเอาใจราษฎรไว้ทั้งจะสิ้นความครหานินทาท่านด้วย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบจึงแต่งเป็นหนังสือรับสั่งแล้วให้ทหารถือไปให้อ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองปุดไฮ แต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะสิ้น
ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะจึงให้หองจูเปียนเสด็จออก ณ พระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยน แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะจึงถือกระบี่ร้องประกาศว่า ทุกวันนี้อาชญาสิทธิ์ก็อยู่แก่เรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อยไม่ควรจะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญสติปัญญาก็หลักแหลม ควรจะว่าราชการเมืองได้ เราจะตั้งให้เป็นเจ้าแผ่นดิน ขุนนางทั้งปวงมิได้ขัดขวางแต่ประการใด ตั๋งโต๊ะจึงสั่งขันทีให้อุ้มหองจูเปียนออกมาจากที่เสด็จออก แล้วถอดเอาตราสำหรับราชสมบัติจากพระศอหองจูเปียน แล้วให้หองจูเปียนเฝ้าอยู่ตำแหน่งลูกหลวง แล้วให้ตัวนางโฮเฮามาถอดเอาเครื่องประดับสำหรับที่ตำแหน่งมารดาหองจูเปียนเสียสิ้น แลนางโฮเฮากับหองจูเปียนก็ร้องไห้รักกันอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็กลั้นน้ำตามิได้
เต๊งกวนขุนนางเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงลุกขึ้นร้องว่าอ้ายตั๋งโต๊ะนี้เป็นศัตรูราชสมบัติ คิดการใหญ่หลวงบังอาจถอดหองจูเปียนซึ่งเป็นเจ้าเสีย แล้วเต๊งกวนเอาง้าวซึ่งถือตามตำแหน่งเข้าเฝ้านั้นลุกไปจะตีตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นก็โกรธ จึงสั่งให้บู๋ซูตำรวจจับเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย บู๋ซูเข้ากุมเอาตัวเต๊งกวน เต๊งกวนมิได้กลัวความตาย ด่าตั๋งโต๊ะเป็นข้อหยาบช้ามิได้ขาดปาก บู๋ซูก็พาเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะจึงให้เชิญหองจูเหียบขึ้น ณ พระที่นั่งเสด็จออก ขุนนาทั้งปวงก็กราบถวายบังคมสิ้น แล้วให้เอาหองจูเปียบกับนางโฮเฮาซึ่งเป็นมารดา แลนางพระสนมหองจูเหียนนั้นไปขังไว้ ณ พระตำหนักในวังลั่นกุญแจเสีย ห้ามมิให้ขุนนางทั้งไปมาหาสู่ และขุนนางทั้งปวงกับอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีความสงสารหองจูเปียนกับนางโฮเฮาเป็นอันมาก เมื่อขณะตั๋งโต๊ะตั้งหองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น (พ.ศ. 733) พระชันษาได้เก้าขวบ ถวายพระนามชื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้
แลตั๋งโต๊ะนั้นตั้งตัวเป็นเซียงก๊ก ภาษาไทยว่าพระยามหาอุปราช ถือกระบี่เข้าเฝ้ามิได้เป็นเวลา ตามแต่จะชอบใจเข้าออก ถืออาชญาสิทธิ์กำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน แลทหารพรรคพวกทำการหยาบช้าข่มเหงชาวเมืองได้ความเดือนร้อนนักแลโจโฉนั้นก็ไปฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย
ฝ่ายลิยูซึ่งเป็นที่ปรึกษานั้นจึงว่ากับตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ราชการทั้งปวงก็มีสิทธิ์ขาดอยู่ในท่านสิ้น แต่ท่านอย่ากำเริบให้ขุนนางแลราษฎรมีความชิงชัง จงผ่อนใจกระทำให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แล้วตั้งแต่งขุนนางให้คนทั้งปวงมีใจรักสรรเสริญท่าน ท่านก็จะได้เป็นใหญ่จำเริญขึ้นทุกวัน
อนึ่งยังมีคนหนึ่งอยู่บ้านนอกชื่อซัวหยง ซัวหยงนั้นมีสติปัญญาดี ขอท่านให้หาตัวเข้ามาตั้งเป็นขุนนางในเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ให้คนไปหาตัวซัวหยง ซังหยงบิดพลิ้วอยู่มิเข้ามา ตั๋งโต๊ะจึงให้ออกไปว่า ถ้าซังหยงขัดอยู่มิเข้ามา เราจะให้ทหารไปจับฆ่าเสียให้สิ้นทั้งพรรคพวก ซังหยงกลัวจึงเข้ามาหาตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะก็ตั้งซัวหยงเป็นขุนนาง เดือนหนึ่งเลื่อนที่ขึ้นไปถึงสามที่ ขณะเมื่อซัวหยงเป็นขุนนางนั้น ตั๋งโต๊ะไว้เนื้อเชื่อใจเอาเป็นที่ปรึกษาราชการทั้งปวง
ฝ่ายหองจูเปียนกับนางโฮเฮาแลพระสนม ซึ่งตั๋งโต๊ะให้ขังไว้นั้นมีความทรมานทุกข์โศกอดอยากอยู่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเห็นนกนางแอ่นบินอยู่ในตำหนักทั้งคู่ หองจูเปียนจึงผูกโคลงปิดไว้ที่ฝาตำหนักเป็นใจความว่า ที่ในพระราชฐานนี้ของพระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดายกให้เป็นสิทธิ์แก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมานขังอยู่เหมือนนกทั้งคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาเรา ช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่อุปมามิได้เลย
ฝ่ายตั๋งโต๊ะใช้คนซึ่งสนิทมาสอดดูหองจูเปียนอยู่เนืองๆ ว่าจะทำประการใดบ้าง คนใช้ครั้นมาเห็นโคลงก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็โกรธจึงว่า ซึ่งหองจูเปียนทำโคลงปิดไว้ทั้งนี้ หวังจะใคร่หาคนสนิทมาแก้แค้นเรา บัดนี้ถึงมาตรว่าเราจะฆ่าเสีย ก็หามีผู้ใดติฉินนินทาไม่ แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ลิยูคุมบู๋ซูสิบคนไปฆ่าหองจูเปียนกับนางโฮเฮา พระสนมเสียจนได้ ลิยูก็พาบู๋ซูสิบคนเปิดประตูตำหนักเข้าไป สนมนั้นแลเห็นก็บอกแก่หองจูเปียน หองจูเปียนจึงถามว่าอะไร ลิยูตอบว่ามหาอุปราชเห็นว่าบ้านเมืองเป็นสุขแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าเอาสุรามาให้เสวย
ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็กริ่งใจ จึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะให้เอาสุรามาให้บุตรเรากินก็ขอบใจแล้ว ตัวท่านผู้เอามาจงกินเข้าไปให้เราเห็นก่อนเราจึงจะให้บุตรเรากินลิยูได้ยินก็โกรธ จึงเรียกบู๋ซูให้เอากระบี่กับโซ่มาวางไว้ตรงหน้า แล้วว่าซึ่งมหาอุปราชให้เอาสุรามาให้กิน นางโฮเฮาขัดมิกันนั้น จงเลือกเอาของสิ่งนี้ จะเอาโซ่หรือกระบี่ นางสนมนั้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งจะให้หองจูเปียนเสวยสุรานั้นข้าพเจ้าจะรับกินแทน แต่ว่าขอชีวิตนางโฮเฮากับหองจูเปียนให้คงไว้เถิด ลิยูได้ฟังร้องตวาดแล้วว่า ไม่ควรที่เอ็งจะมารับตายแทนนั้นไม่ได้แล้วลิยูจึงเอาจอกสุรานั้นยื่นให้นางโฮเฮากินก่อน นางโฮเฮามิได้รับแล้วลำเลิกว่าเพราะอ้ายโฮจิ๋นผู้พี่ไม่มีความคิด พาเอาพวกโจรเข้ามาในพระราชฐาน อันตรายจึงมาถึงกูกับบุตรครั้งนี้
ฝ่ายลิยูจึงเตือนหองจูเปียนว่า จะเลือกกระบี่หรือโซ่ก็เร่งเลือกเอาจงเร็ว หองจูเปียนจึงว่า ตัวเรากับมารดาจะตายวันนี้ก็รู้อยู่แล้ว แต่ขอทุเลาให้เราลามารดาเสียหน่อยหนึ่งเถิด ว่าเท่านั้นแล้วก็เข้ากอดเอาเท้ามารดาร้องไห้รักกันลิยูจึงร้องว่า ซึ่งจะบิดาพลิ้วอยู่นั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยชีวิตแล้ว จะสั่งความกันก็สั่งเร็วๆ มหาอุปราชจะคอยเรา นางโฮเฮาจึงว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเป็นนายโจรขบถต่อแผ่นดิน ซึ่งมันจะให้ทำร้ายแก่กูกับหองจูเปียนผู้บุตรในวันนี้ ถึงมาตรว่ากูแม่ลูกจะตายเทพดาแลมนุษย์ทั้งปวงก็หาสรรเสริญมันไม่ ทั้งอ้ายลิยูเป็นพวกขบถก็หาเจริญไม่ ถึงกูทำมึงมิได้ นานไปก็จะมีผู้ฆ่ามึงเสียเป็นมั่นคง ลิยูได้ยินดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงเข้าลากนางโฮเฮามือหนึ่ง มือหนึ่งลากนางสนมออกไปยังที่ชาลา แล้วให้บู๋ซูตำรวจมัดนางโฮเฮากับนางสนมจนตาย แล้วลิยูจึงกลับเข้าไปจับหองจูเปียนไว้ จึงเอาสุราซึ่งใส่ยาพิษนั้นกรอกจนหองจูเปียนตาย แล้วให้เอาศพไปฝังเสียนอกเมืองทั้งสิ้น แล้วก็กลับมาบอกตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะมีความยินดีนักตั้งแต่นั้นตั๋งโต๊ะมีใจกำเริบมิได้ยำเกรงผู้ใด บางทีเวลาค่ำเข้าไปนอนในที่พระเจ้าเลนเต้บรรทม แล้วทำอันตรายแก่นางห้ามทั้งปวง
ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคุมทหารยกไปเมืองหยงเซีย แล้วให้ทหารหักเข้าไปในเมืองเก็บเอาทรัพย์สิ่งของ แล้วฆ่าผู้ชายเสียเป็นอันมาก จับเอาผู้หญิงมาไว้ จึงให้ตัดเอาศีรษะคนซึ่งตายนั้นบรรทุกเกวียนกลับเข้ามาถึงเมืองหลวง แล้วให้ร้องประกาศแก่ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรว่า เรายกไปจับพวกโจรได้ตัดเอาศีรษะมาเป็นอันมาก แล้วก็ให้เผาเสีย จึงเอาทรัพย์สิ่งของแลหญิงชายทั้งนั้นแจกทหารทั้งปวง
ฝ่ายเงาฮูซึ่งเป็นขุนนาง ครั้นเห็นตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าก็มีความแค้นใจ คิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียมิได้ขาด ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเงาฮูจึงเอามีดเหน็บซ่อนไปในเสื้อแล้วเข้าไปเฝ้าคอยทีอยู่ พอตั๋งโต๊ะออกมาถึงประตูวัง เงาฮูถอดมีดเหน็บออกจะแทงตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นรับไว้ทัน ลิโป้จึงวิ่งเข้าช่วยจับเงาฮูไว้ได้ แล้วว่าเหตุใดตัวจึงมาคิดทำร้ายมหาอุปราชผู้เป็นบิดาของเราดังนี้ เงาฮูมิได้กลัวจึงตอบว่าอ้ายตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า กูจะตัดเอาศีรษะประกาศแก่เทวาแลมนุษย์ให้เห็นประจักษ์จงทั่ว ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งบู๋ซูให้เอาตัวเงาฮูไปแล่เนื้อเสียให้สิ้นชีวิต บู๋ซูเข้ากุมตัวเงาฮู เงาฮูมิได้กลัวตายด่าตั๋งโต๊ะเป็นข้อหยาบช้า จนบู๋ซูลงดาบสิ้นใจ แต่นั้นมาตั๋งโต๊ะให้ทหารล้อมวงรักษาเป็นกวนขันยิ่งกว่าแต่ก่อน
Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ
รู้สึกว่าจะยาวไปนะตอนนี้น่ะ
ตอบลบต้องการเก็บข้อมูลเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น หรือใครต้องการอ่านด้วยก็ได้นะครับ
ตอบลบ