ตอนสิบเจ็ดหัวเมืองมาทำศึกจะจับตัวตั๋งโต๊ะ |
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นเจ้าเมืองปุดไฮนั้น ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย จึงแต่งหนังสือลับไปถึงอ้องอุ้นซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ในหนังสือนั้นว่าทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าขบถต่อแผ่นดินดังนี้หามีผู้ใดคิดการล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ ซึ่งเราออกมาอยู่ครั้งนี้ ใช่จะนิ่งนอนใจอยู่หามิได้ อุตส่าห์เกลี้ยกล่อมผู้คนฝึกหัดให้ชำนาญในการสงครามอยู่มิได้ขาด เพราะมีกตัญญู เราจะอาสาแผ่นดินกำจัดตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ ถ้าท่านเห็นพร้อมด้วยเราแล้ว จงเร่งคิดการข้างในเถิด เราจะยกกองทัพไปทำการ ครั้นอ้องอุ้นได้ทราบในหนังสือนั้นแล้ว ก็คิดวิตกอยู่มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งเวลาออกจากเฝ้าอ้องอุ้นจึงค่อยว่ากับขุนนางเก่าๆ ทั้งปวงว่า วันนี้เราทำการเชิญท่านไปกินโต๊ะเล่น ณ บ้านเรา ครั้นมาพร้อมกันจึงชวนกันกินโต๊ะเสพย์สุรา แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งอันใด อ้องอุ้นจึงตอบว่า แต่ตั๋งโต๊ะเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงทำการหยาบช้า แล้วฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย เรามีความร้อนใจนัก อุปมาดังนอนในกองเพลิง เราเล็งไปไม่เห็นผู้ใดจะช่วยคิดทำนุบำรุงให้แผ่นดินเป็นสุขได้เราจึงร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็มีความสงสาร ต่างคนต่างร้องไห้
แต่โจโฉนั้นลุกขึ้นยืนตบมือหัวเราะแล้วว่า เสียแรงเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน คิดการเท่านี้มิตลอดแล้วสิชวนกันมานั่งร้องไห้ อ้องอุ้นโกรธจึงว่าแก่โจโฉว่า ปู่แลบิดาของตัวก็เป็นขุนนาง ได้กินเบี้ยหวัดมาแต่ก่อน ตัวหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ เราคิดการจะล้างตั๋งโต๊ะเสียเหตุด้วยทหารตั๋งโต๊ะมีเป็นอันมาก เราคิดยังมิตลอดจึงร้องไห้ เป็นไฉนตัวจึงมาตบมือหัวเราะเย้ยดีงนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านทั้งปวงเป็นขุนนางมาแต่ก่อน คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินแลจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสียครั้งนี้สิมิได้เล่า ชวนกันมานั่งร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงหัวเราะเล่น ซึ่งปู่แลบิดาข้าพเจ้าเป็นข้าราชการมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ทำไมแก่ตั๋งโต๊ะนี้จะฆ่าเสียเมื่อใดก็จะได้อ้องอุ้นจึงว่า ที่ตัวว่านี้เรายังไม่เห็นจริง ซึ่งตัวจะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะประการใดนั้นจงว่าให้เราประจักษ์ก่อน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำความเพียรไปฝากตัวให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยจนสนิทมาทุกวันนี้ ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการสิ่งใดหามิได้ เพราะคิดกตัญญูต่อแผ่นดิน จะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ แต่ขัดสนด้วยอาวุธดีไม่มีถือ ข้าพเจ้ารู้ว่ากระบี่สั้นอย่างดีของท่านมีอยู่ ถ้าท่านเป็นใจด้วยดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอยืมกระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าไปให้ถึงตัวตั๋งโต๊ะ แล้วจะฆ่าเสียจึงจะตัดเอาศีรษะมาให้ท่านจงได้ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับแล้วรินสุราให้โจโฉ โจโฉรับเอาจอกสุรามาแล้วจึงสาบานตัวว่า ข้าพเจ้าจะขอฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ อ้องอุ้นมีความยินดี จึงเข้าไปหยิบเอากระบี่สั้นออกมาให้โจโฉ โจโฉก็ลาอ้องอุ้นแลขุนนางทั้งปวงไป
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าในเสื้อ แล้วไป ณ บ้านตั๋งโต๊ะ จึงถามนายประตูว่า มหาอุปราชอยู่ที่ไหน นายประตูบอกว่า มหาอุปราชอยู่ในตึกที่ดูหนังสือ โจโฉก็ขึ้นไปเห็นตั๋งโต๊ะดูหนังสือ ลิโป้นั้นคอยรับใช้อยู่ ตั๋งโต๊ะแลมาเห็นโจโฉก็ถามว่า เป็นไฉนวันนี้จึงมาสายไป โจโฉบอกว่า ม้าซึ่งข้าพเจ้าขี่นั้นป่วยเท้า จัดหาม้าขี่ก็ยังไม่ได้จึงมาสายไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นจึงสั่งลิโป้ว่า ม้าเขาเอามาให้แต่เมืองซีหลงตัวหนึ่ง จงไปเอาม้ามาให้แก่โจโฉ ลิโป้ไปแล้วตั๋งโต๊ะก็เอนลงผินหน้าเข้าไปดูหนังสือข้างผนังตึก โจโฉเห็นดังนั้นก็ดีใจว่าลิโป้ก็ไปแล้ว ทีนี้เห็นจะสมความคิดกูเป็นมั่นคง จึงชักกระบี่สั้นออกแล้วเดินเข้าไปจะฆ่าตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะแลเห็นเงากระจกซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังตึกนั้นจึงตกใจ ผินหน้าออกมาถามโจโฉว่า ถอดกระบี่ถือเข้ามาจะทำร้ายกูหรือ พอลิโป้ก็มาถึง
ฝ่ายโจโฉก็ตกใจเห็นจะมิสมคิด จึงคุกเข่าลงชูกระบี่ยื่นด้ามเข้าไปให้ตั๋งโต๊ะแล้วแก้ตัวว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำร้ายท่านหามิได้ ทุกวันนี้ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดมาสนองคุณมิได้ มีแต่กระบี่สั้นเล่มนี้มีราคามาก เป็นของปู่ย่าตายายได้ต่อๆ กันมาจนถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเอามาสนองคุณท่าน ตั๋งโต๊ะก็เชื่อมิได้สงสัยจึงรับเอากระบี่มาดูก็เห็นว่าดีจริง จึงส่งให้ลิโป้เก็บไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงพาโจโฉออกมาดูม้า แล้วว่าม้านี้ท่านเอาไปขี่เถิด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า กูคิดมาว่าจะทำร้ายตั๋งโต๊ะก็ไม่สมคิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป เกลือกตั๋งโต๊ะรู้ระคายจะฆ่ากูเสีย อย่าเลยกูจะขี่ม้าแล้วหนีไปหาบิดา จึงจะได้คิดการต่อไปแล้วโจโฉจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งท่านให้ม้าใช้ข้าพเจ้าดังนี้พระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าจะขอขี่ลองดูผีเท้าม้าก่อน ตั๋งโต๊ะจึงว่า เครื่องก็ผูกพร้อมอยู่จะขี่ลองดูก็ตามเถิด โจโฉมีความยินดีนักจึงขึ้นขี่ม้าแล้วควบไป ครั้นถึงประตูเมืองฝ่ายทิศตะวันออก จึงบอกแก่นายประตูว่า มหาอุปราชให้เราไปเป็นการเร็ว โจโฉก็ควบม้าออกไปนอกเมืองหลวง
ฝ่ายลิโป้จึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งโจโฉเอากระบี่มานั้นเห็นจะทำร้ายแก่ท่านหากบุญท่านมีมากจึงรู้ตัว โจโฉจึงแก้ตัวว่าแกล้งเอากระบี่มาให้ท่าน ตั๋งโต๊ะจึงว่า ซึ่งว่านี้เราก็เห็นแคลงใจอยู่ด้วย พอลิยูเข้ามา ตั๋งโต๊ะก็เล่าเนื้อความให้ลิยูฟัง ลิยูจึงว่า ข้าพเจ้าก็แคลงอยู่ขอให้คนไปดูที่บ้านโจโฉอาศัยอยู่นั้น ถ้าพบตัวก็จะเห็นความจริงด้วย แม้ไม่พบก็เห็นว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านแล้วหนีไป ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้คนไปดู ณ บ้านที่โจโฉอยู่ คนใช้กลับมาบอกตั๋งโต๊ะว่า ข้าพเจ้าไม่พบโจโฉ แต่ไปสืบได้ความว่าโจโฉควบม้าออกไปทางประตูตะวันออก บอกนายประตูว่ามหาอุปราชใช้ไปเป็นการเร็ว ลิยูจึงว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านเป็นมั่นคง ครั้นไม่สมคิดแล้วจึงหนีไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าโจโฉนี้เราเลี้ยงเป็นคนสนิทไว้เนื้อเชื่อใจ ควรหรือกลับมาทำร้ายแก่เรา มันเป็นคนหามีกตัญญูม่ ลิยูจึงว่าซึ่งโจโฉคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะคิดแต่ตัวผู้เดียวหามิได้ เห็นจะมีพวกเพื่อนคบคิดกันเป็นหลายคน จึงทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ จำจะคิดจับโจโฉมาให้ได้ แล้วจะสืบเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดกันฆ่าเสียจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม ตั๋งโต๊ะเห็นด้วยจึงให้เขียนรูปโจโฉ แล้วแต่งหนังสือไปทุกหัวเมืองว่า ผู้ใดเห็นรูปดังนี้ให้จับตัวส่งเข้ามา เราจะปูนบำเหน็จ แล้วจะให้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใดสมรู้ร่วมคิดคบเอาโจโฉซุ่มซ่อนไว้ จะให้ลงโทษทั้งบุตรภรรยาถึงสิ้นชีวิต
ฝ่ายโจโฉมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉกับรูปซึ่งเขียนมานั้นเหมือนกัน จึงจับตัวโจโฉส่งเข้าไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ตันก๋งถามว่าตัวชื่อโจโฉหรือ โจโฉบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อฮ่องอูเป็นพ่อค้าเที่ยวค้าขายดอก ตันก๋งพิศดูก็จำได้ตระหนักแล้วว่า ตัวชื่อโจโฉเป็นไฉนนจึงว่าชื่อฮ่องอูเล่า ตัวนี้เจรจาไม่จริง วันนี้ค่ำแล้วเอาไปใส่คุกไว้ก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงจะบอกส่งขึ้นไปเมืองหลวง ครั้นเวลาเที่ยงคืนตันก๋งจึงให้ไปเอาตัวโจโฉมา ณ ที่สงัด แล้วถามโจโฉว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชนั้นมีน้ำใจรักใคร่ท่านอยู่เป็นอันมาก ท่านทำประการใดให้มหาอุปราชขัดเคืองจึงเกิดเหตุหนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย เป็นไฉนจึงจะมาล่วงรู้ความคิดพญาครุฑ ซึ่งมีหนังสือตั๋งโต๊ะมานั้น ท่านจับตัวเราได้แล้วก็ให้เร่งส่งขึ้นไปยังเมืองหลวงเอาความชอบเถิด อย่าลวงถามมาถึงความคิดเราเลย ตันก๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้อัชฌาสัย จึงขันคนทั้งปวงเสียสิ้นแล้วตอบแก่โจโฉว่า ท่านอยู่ดูหมิ่นว่าเราความคิดน้อย ทุกวันนี้ที่เรามาเป็นหัวเมืองจัตวาอยู่นี้เพราะเราขัดสน แลใจนั้นจะคิดหาผู้กล้าหาญซึ่งมีสติปัญญาเป็นหลักจะได้เป็นคู่คิดสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า แต่ก่อนปู่แลบิดาเราเป็นขุนนางได้กินเบี้ยหวัดอยู่ ครั้งนี้บ้านเมืองเป็นจลาจลเพราะขันทีสิบคนแลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า ครั้นเราจะนิ่งอยู่มิคิดการก็เหมือนหนึ่งหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ อันเราไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนี้หวังจะล้างมันเสีย ซึ่งทำให้สมคิดทั้งนี้ก็เป็นกรรมของเรา แลวิบากของอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงถามว่า ซึ่งท่านหนีตั๋งโต๊ะมานี้จะไปคิดการสิ่งใด โจโฉบอกว่า เราจะหนีไปหาบิดาเรา แล้วจะลอบแต่งเป็นหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทหารมาบรรจบกัน แล้วจะเข้าไปทำการจับตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติฆ่าเสีย ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออกเสีย จึงเชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้เรายินดีด้วย ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะสติปัญญาท่าน โจโฉจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด จึงมีความยินดีด้วยเรา ตันก๋งจึงบอกว่าเราชื่อตันก๋ง เป็นแช่นตัน เราเห็นท่านนี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงมีความยินดีด้วย ซึ่งที่เราเป็นเจ้าเมืองจงพวนอยู่นี้เราจะทิ้งเสีย จะไปทำการทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยท่าน แล้วตันก๋งจึงเข้าไปจัดหาทรัพย์สิ่งของซึ่งมีราคากับกระบี่ให้โจโฉถือเล่มหนึ่ง ตัวถือเล่มหนึ่งจึงขี่ม้าคนละตัวแล้วพากันออกจากเมืองในกลางคืนนั้น
ครั้นมาได้สามวันถึงบ้านแห่งหนึ่ง โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่า เวลาก็เย็นแล้วบ้านนี้เกลอของบิดามีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าแปะเฉีย เราจะเข้าไปอาศัยนอน จะได้ถามเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แล้วโจโฉก็พาตันก๋งเข้าไปหาแปะเฉีย แปะเฉียเห็นโจโฉจึงบอกว่า บัดนี้มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวงว่า ให้จับตัวท่านส่งขึ้นไปแลโจโก๋บิดาของตัวนั้นก็หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้แปะเฉียฟังสิ้น แล้วว่าตันก๋งคนนี้เป็นเจ้าจงพวน ละราชการเสียหนีมาคิดการกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้รอดชีวิตเพราะตันก๋ง แปะเฉียได้ฟังดังนั้น จึงว่าแก่ตันก๋งว่า ขอบใจท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ถ้ามิได้ท่าน โจโฉก็ตาย ท่านจงพากันนอนอยู่ที่นี่เถิด ต่อเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไป แล้วแปะเฉียก็เข้าไปในเรือนสั่งแก่พ่อครัวว่าให้ทำสุกรแลไก่ แล้วก็กลับออกมาบอกแก่โจโฉว่า สุราที่เรือนนี้ไม่มีดี เราจะไปจัดหาสุราที่ดีมาให้กิน ว่าแล้วก็ไป
ฝ่ายพ่อครัวจึงถามกันว่า เราจะมัดก่อนหรือ หรือจะฆ่าทีเดียว โจโฉได้ยินว่าดังนั้นก็กริ่งใจ จึงปรึกษากับตันก๋งว่า แปะเฉียนี้เป็นแต่เกลอของบิดาเห็นจะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา จึงสั่งไว้แก่คนที่เรือน คนที่เรือนจึงว่าจะมัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว ตันก๋งจึงว่าเราไม่รู้จักน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าเอามันไว้ไม่ได้ ก็ชักกระบี่ออกแล้วก็เข้าไปฟันผู้คน บุตรภรรยาแปะเฉียตายถึงแปดคน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้ก็ตกใจ จึงว่าเขามัดสุกรไว้เขาจะฆ่าต่างหาก ท่านมาฆ่าผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียเสียนั้นผิดนัก โจโฉก็กลับจึงพาตันก๋งหนีออกจากบ้าน ครั้นไปประมาณยี่สิบเส้นพอพบแปะเฉีย แปะเฉียถามว่าไม่อยู่กินข้าวจะไปไหนเล่า โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนผิดอยู่ จะรีบไปให้พ้นภัย ก็ขับม้าไปแล้วก็ได้คิด จึงกลับม้ามาเรียกแปะเฉีย ว่าจะสั่งความไว้ แปะเฉียก็หยุดอยู่ โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย ตันก๋งเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงว่าแก่โจโฉว่า เมื่อกี้ท่านฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสียแล้ว บัดนี้ซ้ำมาฆ่าตัวแปะเฉียอีกเล่า โจโฉจึงตอบว่า เมื่อกี้เราคิดผิดอยู่แล้วครั้นจะละไว้แปะเฉียก็จะโกรธไปบอกนายบ้าน นายบ้านก็จะคุมกันมาตามจับเราส่งขึ้นไปเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านมีความคิดผิดเมื่อมิทันรู้ฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสีย ครั้นรู้ตัวว่าผิดแล้ว มาซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียอีกฉะนี้ เป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ท่านว่าฉะนี้ก็ชอบกลอยู่ แต่ว่าธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงการทั้งนี้ ว่าแล้วโจโฉก็พาตันก๋งไปถึงที่สำนักแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปอาศัยนอนอยู่ ครั้นโจโฉนอนหลับไป ตันก๋งจึงลุกขึ้นรำพึงคิดว่าเสียแรงตัวกูสุ้นสละสมบัติพัสถานเสีย อุตส่าห์ติดตามโจโฉมาคิดว่าจะเป็นคนดีมีสติปัญญาจะได้อุปถัมภ์กันสืบไป มิรู้โจโฉเป็นคนหยาบช้าสามานย์หามีความกตัญญูต่อผู้มีคุณอุปการะไม่ ครั้นกูสมาคมด้วยโจโฉสืบไปนั้นไม่ควรจำกูจะฆ่าเสียอย่าให้มีภัยไปภายหน้า จึงถอดกระบี่ออกจะฟันโจโฉ แล้วถอยหลังคิดว่าเหตุทั้งนี้เพราะแรกนั้นเราชอบใจจึงตามมา ครั้นโจโฉทำผิดจะฆ่าโจโฉเสียนั้นก็หาโยชน์ไม่ เมื่อมิชอบใจแล้วก็จะเอาตัวรอดหนีดีกว่า ตันก๋งก็ขึ้นม้าหนีไปเมืองตองกุ๋ย
ฝ่ายโจโฉครั้นตื่นขึ้นไม่เห็นตันก๋งแล้วก็คิดว่า ตันก๋งเห็นกูกระทำผิดจึงเอาตัวหนี ครั้นจะอยู่ที่นี่ก็มิได้ภัยจะมี ก็รีบไปในเวลากลางคืน ครั้นถึงเมืองตันลิวจึงบอกแก่โจโก๋ผู้บิดาตามเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง ซึ่งข้าพเจ้าหนีมานี้หวังจะขอเงินทองของบิดาที่มีอยู่นั้นจะซื้อม้าแลอาวุธ แล้วจะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ได้มากแล้วจะทำการสืบไป โจโก๋จึงว่าเงินทองเรามีอยู่บ้างเห็นจะไม่พอการ เราเห็นคนหนึ่งชื่ออุยหองมีทรัพย์สินเป็นอันมาก น้ำใจก็กว้างขวางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าได้ไปบอกเนื้อความทั้งปวงก็เห็นจะลงใจด้วย จะให้เงินทองมาจ่ายอาวุธแลม้าจะได้เป็นกำลังสืบไป
โจโฉได้ยินบิดาว่าดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญอุยหองมากินโต๊ะ โจโฉจึงบอกเนื้อความแก่อุยหองว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ แต่ว่ากำลังแลทรัพย์สิบข้าพเจ้าน้อยนัก ข้าพเจ้าจึงหนีมาจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะยกเข้าไปทำการล้างตั๋งโต๊ะ บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีทรัพย์เป็นอันมาก แลน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะขอทรัพย์ท่านไปจัดซื้ออาวุธแลม้า จะได้ทำการสืบไป อุยหองได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าแต่รู้ข่าวว่าเมืองเหลืองเป็นจลาจล ก็มาคิดอยู่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน แต่หามีผู้จะคิดเป็นหลักไม่ อันซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้เรายินดี ทรัพย์ของเราซึ่งมีอยู่นั้น เราจะให้ท่านทำตามปรารถนา โจโฉมีความยินดีนัก จึงทำธงขาวคันหนึ่งแล้วเขียวอักษรลงว่าให้คนทั้งปวงมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินแล้วปักขึ้นไว้ตรงหน้าบ้าน บรรดาชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันมาหาโจโฉ โจโฉจึงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เป็นอันมาก
ขณะนั้นแฮหัวตุ้นผู้พี่ แฮหัวเอี๋ยวผู้น้อง อยู่ ณ เมืองไพก๊ก แลแฮหัวตุ้นเมื่ออายุสิบสี่ปีนั้นไปเรียนการทหารในสำนักอาจารย์ แลมีผู้หนึ่งมาดูหมิ่นอาจารย์แฮหัวตุ้นโกรธจึงฆ่าผู้นั้นเสีย แล้วหนีไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ข่าวก็เกลี้ยกล่อมผู้คนได้ประมาณพันเศษ จึงพาแฮหัวเอี๋ยนผู้น้องไปเข้าด้วยโจโฉ
แล้วโจหยิน โจหองพี่น้องคุมคนได้ประมาณพันเศษ กับงักจิ้นชาวเมืองยงเป๋ง ลิเตียนชาวเมืองซันหยง ต่างคนก็มาเข้าด้วยโจโฉ แลอุยหองนั้นเห็นผู้คนมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉก็มีความยินดีนัก จึงเอาเงินทองมาให้โจโฉซื้อม้าแลอาวุธสำหรับการสงคราม แลชาวเมืองทั้งปวงก็ชวนกันจัดเอาม้าแลอาวุธกับข้าวปลาอาหารมาให้เป็นอันมาก ขณะนั้นโจโฉมีความยินดีนัก จึงให้ปลูกโรงสำหรับเป็นที่ชุมนุมขุนนางแลทหารจะได้ปรึกษาการสงคราม ครั้นเวลาเช้าเย็นให้ทหารซ้อมหัดการอาวุธไว้ให้ชำนาญ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งตั๋งโต๊ะเกลี้ยกล่อมเอาใจตั้งไว้เป็นเจ้าเมืองปุดไฮรู้ข่าวดังนั้น ก็ปรึกษาแก่กรมการทั้งปวงว่า เราจะยกไปเข้าด้วยโจโฉ กรมการทั้งปวงเห็นชอบด้วย อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเข้าด้วยโจโฉประมาณสามหมื่นเศษ ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมาเข้าด้วยก็มีความยินดี จึงปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้เราสิจะทำการใหญ่ จำจะแต่งเป็นหนังสือรับสั่งลอบไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือว่ามีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจโฉลอบออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า ทุกวันนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือนร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเป็นขบถฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย ยกเราให้เป็นเจ้าแผ่นดินเหมือนเจว็ด ตั้งตัวมันเป็นมหาอุปราช ราชการเมืองทั้งปวงสิทธิ์อยู่แก่ตั๋งโต๊ะสิ้น แลโจโฉมีกตัญญูต่อแผ่นดิน สาบานตัวต่อหน้าที่นั่งว่า จะอาสาล้างตั๋งโต๊ะให้ได้ เราจึงให้โจโฉออกไปประกาศหัวเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็ให้เข้าคิดอ่านกับโจโฉ แล้วยกเข้ามาล้างตั๋วโต๊ะ ซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติเสียจงได้
ครั้นหัวเมืองทั้งสิบห้าเมืองใหญ่นั้น คือ อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงหนึ่ง ฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วหนึ่ง ขงมอเจ้าเมืองเซียงจิ๋วหนึ่ง เล่าต้ายเจ้าเมืองอิวจิ๋วหนึ่ง อองของเจ้าเมืองโห้ลายหนึ่ง เตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวหนึ่ง เตียวโป้เจ้าเมืองตองกุ๋นหนึ่ง อ้วนอุ๋ยเจ้าเมืองซุนหยงหนึ่ง เปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักหนึ่ง ขงเล่งเจ้าเมืองปักไฮหนึ่ง เตียวเถียวเจ้าเมืองก่องเล่งหนึ่ง โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วหนึ่ง ม้าเท้งเจ้าเมืองเสหลียงหนึ่ง เตียนเอี๋ยงเจ้าเมืองเสียงต๋งหนึ่ง ซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาหนึ่ง รู้ในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดี จึงคุมทหารเมืองละหมื่นหนึ่งบ้างสองหมื่นบ้างสามหมื่นบ้าง ยกไปเข้าด้วยโจโฉเป็นสิบหกหัวเมือง ทั้งอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงยกกองทัพทั้งปวงไป ณ แดนเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง ครั้นรู้รับสั่งดังนั้นก็จัดทหารได้ประมาณหมื่นห้าพัน ยกมาถึงเมืองเพงงวนก๋วนซึ่งเล่าปี่รักษาอยู่
ฝ่ายเล่าปี่รู้ว่ากองซุนจ้านยกมา ก็พากวนอูกับเตียวหุยออกไปหาถึงนอกเมือง กองซุนจ้านเห็นเล่าปี่มาก็ดีใจจึงถามว่า ซึ่งตามมาด้วยสองคนนั้นชื่อใดแลมานี่จะไปไหน เล่าปี่บอกว่านั้นชื่อกวนอู เตียวหุย เป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์ แลน้องข้าพเจ้า สองคนนี้กล้าหาญได้เป็นกำลังข้าพเจ้ามา แลท่านได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าแต่ก่อน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกมาทางนี้จึงออกมารับ หวังจะเชิญท่านเข้าไปพักทหารอยู่ในเมืองสักเวลาหนึ่ง กองซุนจ้านได้ฟังก็ระลึกได้ว่ากวนอู เตียวหุย แล้วก็เข้าไปในเมือง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอู เตียวหุยนี้ก็ได้ไปช่วยทำการรบโจรโพกผ้าเหลือง หาผู้ใดว่ากล่าวความชอบไม่ จึงเป็นทหารเลวอยู่ฉะนี้ กองซุนจ้านจึงเล่าในหนังสือรับสั่งซึ่งให้โจโฉออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวงนั้นให้เล่าปี่ฟังสิ้นแล้วชวนเล่าปี่ว่าทุกวันนี้ท่านได้เป็นเจ้าเมืองก็เป็นแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้น ก็จะได้เป็นเจ้าเมืองเอกขึ้น เล่าปี่มีความยินดีรับคำกองซุนจ้าน เตียวหุยจึงว่าครั้งไปรบโจรโพกผ้าเหลืองนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าตั๋งโต๊ะหยาบช้ามิรู้จักคุณคน ข้าจะฆ่าเสียพี่ห้ามไว้ ถ้าพี่มิห้ามข้าจะเกิดเหตุใหญ่ถึงเพียงนี้หรือ กวนอูจึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าว่าเลย ซึ่งจะไปกับกองซุนจ้านนั้นข้าก็มีความยินดีด้วย เล่าปี่จึงให้จัดแจงทหาร ซึ่งเป็นคนสนิทพร้อมแล้ว กองซุนจ้าน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ยกทหารไปถึงที่ซึ่งโจโฉตั้งทัพอยู่ ณ แดนเมืองหลวง
ฝ่ายโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงจึงให้ตั้งค่ายเรียงกันไป ทางไกลประมาณสองร้อยเส้น แลโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญหัวเมืองทั้งปวงมากินโต๊ะพร้อมกัน แล้วก็ให้ยกเข้าตีเอาเมืองลกเอี๋ยง อองของจึงว่าบัดนี้เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์เป็นผู้ใหญ่บังคับบัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย โจโฉฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงว่าอ้วนเสี้ยวนี้เป็นคนมีตระกูลเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เป็นนายทัพใหญ่ ถืออาชญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง อ้วนเสี้ยวไม่ยอมหัวเมืองทั้งปวงจึงว่า ถ้าอ้วนเสี้ยวไม่ยอมเป็นนายทัพใหญ่แล้ว ซึ่งจะจัดหาผู้ใดนอกนั้นเห็นขัดสน อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองจะแก่งแย่งกันก็รับเป็นแม่ทัพใหญ่ โจโฉจึงให้ปลูกโรงใหญ่สำหรับอ้วนเสี้ยวออกว่าราชการในค่าย ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงเชิญให้อ้วนเสี้ยวขึ้นนั่งที่สมควร แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็เอากระบี่แลตราสำหรับนายทัพใหญ่มอบให้อ้วนเสี้ยว แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองจึงจุดธูปเทียนขึ้นทำการสักการบูชาบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่า จะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป โจโฉจึงรินสุราคำนับให้หัวเมืองทั้งปวงกิน แล้วว่าเราจะทำสงครามใหญ่ครั้งนี้ อย่าได้คิดแก่งแย่งกันให้เสียราชการ จงมีใจประนอมกัน การทั้งปวงจึงจะสำเร็จ อ้วนเสี้ยวจึงว่า สติปัญญาเราก็เป็นประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเป็นนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะให้ลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา โจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็รับว่าข้าพเจ้าจะทำตาม อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องเป็นทัพลำเลียง สำหรับส่งเสบียงนายทัพนายกองทั้งปวงอย่าให้ขาดได้ แล้วให้ซุนเกี๋ยวเป็นกองทัพหน้า คุมทหารยกไปตีด่านกิสุยก๋วน ซุนเกี๋ยนก็ยกไปตั้งค่ายประชิดด่าน
ฝ่ายนายด่านเห็นดังนั้น จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ลิยูครั้นรู้หนังสือนั้นแล้วก็เอาไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะตกใจจึงปรึกษาลิยูว่า ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไปจับซุนเกี๋ยนมาฆ่าเสียได้ ลิโป้จึงว่าซึ่งหัวเมืองยกมาทั้งนี้เปรียบเหมือนแมลงเม่า ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสีย อย่าให้ท่านวิตกเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจขึ้น จึงว่าทุกวันนี้เราได้ลิโป้ไว้เป็นบุตร ถึงมาตรว่าจะได้ทหารอื่นมาไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าลิโป้
ขณะนั้นทหารคนหนึ่งชื่อฮัวหยง กิริยาดังเสือ สูงหกศอกเศษ ครั้นได้ยินลิโป้ว่าจะอาสาดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ซึ่งจะฆ่าไก่แลจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่ควร ซึ่งการทั้งนี้เป็นแต่หัวเมืองทั้งปวงยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่านจะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้นเห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาศีรษะหัวเมืองทั้งปวงให้จงได้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดนัก จึงให้ฮัวหยงเลื่อนที่เป็นนายทหารใหญ่ แล้วจัดนายทหารให้ห้าหมื่น กับลิซกหนึ่ง โฮจิ้นหนึ่ง เตียวหงิมหนึ่ง เป็นสี่นายทั้งฮัวหยงให้ยกออกไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารสามคนคุมพบห้าหมื่น รีบออกไปตั้งรับอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วน
ขณะนั้นเปาสิ้นซึ่งอยู่ในกองทัพอ้วนเสี้ยว จึงคิดว่าซุนเกี๋ยนเป็นกองหน้ายกไปตีด่านเมืองหลวงนั้น ถ้าได้ทีก็มีความชอบแต่ตัวซุนเกี๋ยน จึงแต่งให้เปาต๋งผู้น้องคุมทหารยกไปทางหนึ่ง ให้เร่งคิดเอาด่านเมืองให้ได้ก่อน ความชอบจึงจะมีแก่เรา เปาต๋งก็รีบยกทัพไป ครั้นถึงด่านแล้วก็ให้ทหารเข้าตีก่อนทัพซุนเกี๋ยน
ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารห้าร้อยเปิดประตูด่านออกไป จึงร้องว่าเปาต๋งนี้เป็นพวกโจรมารบกูหรือ เปาต๋งได้ยินดังนั้นก็แลไปดูเห็นฮัวหยงก็ตกใจกลัว ชักม้าบ่ายหน้ากลับไป ฮัวหยงขับม้าไล่ตาม แล้วเอาง้าวฟันถูกเปาต๋งตกม้าตาย จับได้ทหารเป็นอันมาก แล้วให้ตัดเอาศีรษะเปาต๋งใส่ถัง บอกหนังสือส่งขึ้นไปให้ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะมีความยินดี จึงแต่งหนังสือลงมาปูนบำเหน็จให้ฮัวหยงเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่
ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีทหารเอกไปด้วยสี่คน ชื่อเทียเภอถือทวนหนึ่ง อุยกายถือกระบองเหล็กสี่เหลี่ยมหนึ่ง ฮันต๋งถือง้าวหนึ่ง โจเมาถือกระบี่สองมือหนึ่ง ซุนเกี๋ยนแต่งตัวใส่เกราะแล้วถือง้าวใหญ่ พาพวกทหารออกมาหน้าด่านแล้วร้องว่าอ้ายพวกขบถมึงเร่งเปิดประตูออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมกูจงเร็ว ถ้าช้าอยู่กูจะหักเข้าไปตัดศีรษะเสียให้สิ้น โฮจิ้นได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ฮัวหยงว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารห้าพันจะอาสาออกไปตี ฮัวหยงเห็นชอบด้วยก็จัดทหารให้โฮจิ้น โฮจิ้นก็ยกทหารเปิดประตูออกไป
ฝ่ายเทียเภาเห็นโฮจิ้นออกมา จึงขับม้ารำเพลงทวนออกไปรบด้วยโฮจิ้นได้เจ็ดเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกคอโฮจิ้นตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็ไล่ฟันทหารโฮจิ้นเข้าไปจนถึงเชิงกำแพง
ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารบนหน้าที่เชิงเทินยิงเกาทัพณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน ซุนเกี๋ยนเห็นจะเข้าหักเอายังมิได้ ก็ให้ถอยทหารมาตั้งค่ายอยู่ตำบลเลียงต๋ง จึงแต่งหนังสือตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นไปให้อ้วนเสี้ยวแจ้ง แล้วบอกไปถึงอ้วนสุดว่า ในกองทัพนี้ขาดเสบียงให้อ้วนสุดเร่งส่งลำเลียงมาให้จงได้
ขณะเมื่อหนังสือมานั้น ทหารอ้วนสุดคนหนึ่งจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ซุนเกี๋ยนคนนี้เมื่อยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น อุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋วโต๊ะนั้นอุปมาดังหมีครั้งนี้ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเป็นกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสียซุนเกี๋ยนก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้นจะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่านิ่งเสียอย่าส่งเสบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลง เหมือนเสือหากำลังมิได้ อ้วนสุดเห็นชอบด้วยก็มิได้ส่งเสบียงแลในกองทัพซุนเกี๋ยนก็อดข้าวปลาอาหาร ทหารทั้งปวงก็อิดโรยไป
ฝ่ายคนสอดแนมครั้นรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิซก ลิซกจึงไปบอกแก่ฮัวหยงว่า บัดนี้ในกองทัพซุนเกี๋ยนนั้น ทหารทั้งปวงอดข้าวปลาอาหารอิดโรยอยู่แล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะคุมทหารอ้อมไปเข้าข้างหลังค่ายซุนเกี๋ยนขอให้ท่านยกเข้าข้างหน้าค่าย จึงตีกระหนาบเข้าไปปล้นเอาค่ายเห็นจะจับตัวซุนเกี๋ยนได้โดยง่าย ฮัวหยงเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารเตรียมไว้เป็นสองกองครั้นเวลาค่ำจึงเปิดประตูยกทหารออกไปเป็นสองกองตามซึ่งคิดไว้นั้น ขณะเมื่อยกไปถึงค่ายซุนเกี๋ยนนั้นเป็นเวลาสองยามเศษ ฮัวหยงจึงให้ทหารตีกลองโห่ร้องเข้าปล้นเอาค่าย
ฝ่ายซุนเกี๋ยวตกใจแต่งตัวใส่เกราะ แล้วขึ้นม้าถือง้าวออกมารบกับฮัวหยงไปแปดเพลง แล้วซุนเกี๋ยนแลไปเห็นแสงเพลิงข้างหลังค่ายนั้นสว่างขึ้น แลทหารในค่ายแตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก แต่โจเมานั้นขึ่ม้าตามซุนเกี๋ยนอยู่
ฝ่ายทหารฮัวหยงเข้าล้อมไว้ ซุนเกี๋ยนกับโจเมาจึงฝ่าฟันทหารออกไปได้ ฮัวหยงควบม้าตาม ซุนเกี๋ยนยิงเกาทัณฑ์มา ฮัวหยงรับลูกเกาทัณฑ์ได้ทั้งสองดอกแล้วซุนเกี๋ยนขึ้นเกาทัณฑ์จะยิงซ้ำ คันเกาทัณฑ์หัก ซุนเกี๋ยนกับโจเมาก็ควบม้าหนีไป ฮัวหยงก็ขับม้าตาม โจเมาจึงว่ากับซุนเกี๋ยนว่า หมวกซึ่งท่านใส่นั้นฝ่ายศัตรูจำได้ถนัด จงถอดมาเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าเสียเถิด ซุนเกี๋ยนก็ถอดหมวกออกมาเปลี่ยนกันใส่ แล้วควบม้าแยกทางกันไป
ฝ่ายฮัวหยงกับทหารทั้งปวงควบม้าตามไป มิได้รู้ว่าซุนเกี๋ยนไปแห่งใด จำสำคัญได้แต่หมวก ฮัวหยงคิดว่าซุนเกี๋ยนก็รีบควบม้าไล่โจเมาไป ฝ่ายโจเมาเห็นจวนตัวเข้า จึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้ แล้วก็รีบควบม้าหนีเข้าป่า ขณะเมื่อฮัวหยงไล่ไปนั้นเป็นเวลากลางคืนมิได้รู้กลโจเมา เห็นสำคัญแต่หมวก จึงให้ทหารเข้าล้อมตอไม้นั้นไว้ แลทหารทั้งปวงก็เอาเกาทัณฑ์ยิงตอไม้อยู่เป็นช้านาน ครั้นเห็นไม่ไหวติง ฮัวหยงจึงพาทหารเข้าไปดู ก็เห็นหมวกสวมตอไม้อยู่
ฝ่ายโจเมาครั้นหนีเข้าอยู่ในป่าหยุดม้าดู เห็นฮัวหยงกับทหารหลงล้อมตอไม้ไว้ โจเมาจึงชักม้ากลับหลังจะฟันฮัวหยง ฮัวหยงเหลือบเห็นจึงชักม้ากลับหน้ามาร้องตวาด แล้วเอาง้าวฟันถูกโจเมาตัวขาดออกสองท่อนตาย ครั้นเวลารุ่งเช้าฮัวหยงก็คุมทหารกลับเข้าไปด่านเมืองหลวง
ฝ่ายเทียเภอ อุยกาย ฮันต๋ง กับทหารทั้งปวงซึ่งเหลือแตกไปนั้นพบซุนเกี๋ยน ซุนเกี๋ยนจึงพากลับมา ณ ค่ายเลียงต๋ง แล้วบอกหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวตามซึ่งได้รบพุ่ง อ้วนเสี้ยวแจ้งในหนังสือนั้นมีความเศร้าหมองนัก จึงหาหัวเมืองมาปรึกษา ซุนเกี๋ยนนี้เป็นทหารกล้าแข็ง ซึ่งเสียทีแก่ฮัวหยงดังนี้จะคิดประการใด อนึ่งเปาสิ้นลอบใช้เปาต๋งไปชิงรบจนตัวตาย แลเสียทหารไปเป็นอันมาก นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิได้ว่าประการใด
ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้านทั้งสามคนนี้รูปร่างโตใหญ่เห็นกิริยาดังยิ้มเยาะ จึงถามกองซุนจ้านว่าสามคนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนั้นชื่อใด กองซุนจ้านจึงจูงมือเล่าปี่ออกไปยืนข้างหน้า แล้วบอกว่าคนนี้ชื่อเล่าปี่ เป็นเพื่อนศิษย์เรียนหนังสือกับข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ได้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน
โจโฉจึงว่าเล่าปี่คนนี้ ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองนั้นก็ได้ไปช่วยรบ กองซุนจ้านจึงว่า อันเล่าปี่นี้เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความชอบต่อแผ่นดินมาหลายครั้ง แล้วกองซุนจ้านให้เล่าปี่คำนับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวเชิญให้เล่าปี่มานั่งที่สมควร แลกวนอูกับเตียวหุยก็เข้าไปยืนอยู่หลังเล่าปี่
ฝ่ายฮังหยงนั้นคุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายอ้วนเสี้ยว จึงให้ทหารเอาไม้ยาวเสียหมวกซุนเกี๋ยนแกว่งขึ้นร้องประกาศว่า อ้ายเหล่าหัวเมืองซึ่งเป็นขบถ แต่งให้ซุนเกี๋ยนยกไปรบนั้น กูก็ตีแตกฆ่าทหารเสียเป็นอันมากแล้ว บัดนี้ใครซึ่งเป็นตัวนายเร่งยกออกมารบกัน ม้าใช้ได้ยินดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาแก่นายทัพนายกองว่า ฮัวหยงออกมาทำดังนี้ ผู้ใดจะอาสาไปด้วยได้ ยูสิดทหารอ้วนสุดจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบด้วยฮัวหยง อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็เกณฑ์ทหารให้ยูสิด ยูสิดยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงได้สามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันยูสิดตกม้ายตาย ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวกับหัวเมืองทั้งปวงปรึกษากันว่า ครั้งนี้ใครจะอาสาออกไปรบด้วยฮัวหยงได้
ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วจึงว่า ข้าพเจ้ามีทหารเอกคนหนึ่งชื่อพังหอง จะขออาสาไปตัดเอาศีรษะฮัวหยงมาให้จงได้ อ้วนเสี้ยวมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารให้ พัวหองแต่งตัวใส่เกราะแล้วขี่ม้าถือขวานใหญ่เป็นอาวุธ ยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงสามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันถูกพัวหองตกม้าตาย ม้าใช้ก็รีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว แลนายทัพนายกองทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ อ้วนเสี้ยวจึงว่าทหารเอกของเราสองคนชื่องันเหลียง บุนทิวก็ยังไม่เห็นมา ถ้ามาแล้วก็จะกลัวอะไรกับฮัวหยง ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไป
ขณะนั้นกวนอูจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาศีรษะฮัวหยงมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งรับอาสานั้นเป็นทหารที่ตำแหน่งใด กองซุนจ้านจึงบอกว่า คนนี้ชื่อกวนอูผู้น้องเล่าปี่ เป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ยินกองซุนจ้านว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดว่ากวนอูเป็นแต่ทหารม้าเลว มาดูหมิ่นนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวง บังอาจเข้ารับอาสาแลทหารหัวเมืองทั้งปวงมีอยู่เป็นอันมาก พอจะทำการศึกสืบไป จึงให้ทหารขับกวนอูออกไปเสีย
โจโฉจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูนี้จะมีฝีมือกล้าหาญอยู่จึงขันอาสา ถ้าไม่สมดังปากว่าจึงจะเอาโทษถึงตาย อ้วนเสี้ยวจึงว่ากวนอูเป็นทหารเลว ครั้นจะให้ออกไปรบกับฮัวหยง ฮัวหยงก็จะหัวเราะเย้ยเล่นว่าในกองทัพเรานี้ไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าเห็นรูปร่างกวนอูนี้โตใหญ่คมสันอยู่ เห็นสมเป็นทหารเอก ฮัวหยงจะไม่รู้ว่าทหารเลว กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาออกไปครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ศีรษะฮัวหยงเข้ามา ขอท่านจงเอาศีรษะข้าพเจ้าไว้แทนเถิด อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้กวนอู โจโฉจึงให้อุ่นสุราแล้วรินใส่จอกยื่นให้กวนอู กวนอูคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารเลว ซึ่งท่านจะให้สุรากินนั้น ขอให้ท่านงดไว้ก่อน เมื่อใดข้าพเจ้าออกไปได้ศีรษะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับเอาสุราของท่านกิน แล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวออกไปรบด้วยฮัวหยง
ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองแลม้าล่ออื้ออึง ก็ชวนกันออกไปดูกวนอูจะรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วเอาศีรษะฮัวหยงกลับเข้ามาทิ้วไว้ตรงหน้าค่าย นายทัพนายกองทั้งปวงเห็นก็ดีใจ จึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับ แล้วส่งให้กวนอู กวนอูคำนับตอบ แล้วรับเอาจอกสุรานั้นมากิน สุรานั้นยังอุ่นอยู่
ขณะนั้นเตียวหุยจึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดศีรษะฮัวหยงมาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับเอาตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องตวาดแล้วว่า บรรดานายทัพนายกองทั้งปวงมิได้ปรึกษาว่ากล่าวประการใด ตัวนี้เป็นแต่ทหารเลวองอาจเข้ามาจะอาสาหักหน้าผู้ใหญ่ทั้งนี้ เห็นเป็นคนหยาบช้านัก ให้ขับออกไปเสียนอกที่ชุมนุมขุนนาง
โจโฉจึงว่าอันอย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงครามก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิสริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ถ้าจะนับถือทหารเลวเป็นเอกฉะนี้ไซร้ เราไม่ทำการสืบไปแล้ว จะยกทหารกลับไปเมือง โจโฉจึงว่าขัดข้องกันแต่เนื้อความเพียงนี้จะละการใหญ่เสียนั้นไม่ควร แล้วให้กองซุนจ้านพาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยกลับไป ณ ค่ายที่อยู่ โจโฉจึงให้เอาสุราเป็นไก่ไปมอบให้กำนัลเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ