วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"สามก๊ก" ตอนที่ 39 (ช่วงที่ 3)

By Thepoetry4u

thepoetry4u.blogspot.com


ซุนกวนจึงว่า เมื่อคนทั้งปวงปรึกษาฉะนี้ท่านไม่เห็นด้วยนั้นจะให้ทำประการใดเล่า จิวยี่จึงว่า อันโจโฉนี้เป็นที่มหาอุปราชนั้น คือเป็นศัตรูแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้อีก แลตัวท่านก็มีปัญญาความคิดตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต แลจะไปอ่อนน้อมแก่โจโฉอันเป็นคนมิได้ตั้งอยู่ในความสัตย์นั้นจะควรหรือ อนึ่งเมืองกังตั๋งก็บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ทั้งผู้คนก็พรักพร้อม ชอบแต่จะคิดกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียอีก อนึ่งโจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ก็นานแล้ว ฝ่ายม้าเท้งแลหันซุยนั้นก็เป็นอริเห็นจะระวังหลังอยู่ ประการหนึ่งทหารโจโฉก็เป็นชาวดอนไม่สันทัดในทางเรือ ถึงจะยกมารบพุ่งก็หาถนัดไม่ แล้วก็เป็นฤดูแล้ง หญ้าแลฟางทั้งปวงก็เห็นไม่พอปากม้าที่จะกิน อันทหารทั้งปวงเล่าก็เป็นชาวป่า จะกินอยู่ผิดสำแดงก็จะป่วยไข้เป็นอันมาก กำลังก็จะน้อยลงทุกที ถึงจะทำการขับเคี่ยวไปก็เสียเปรียบเราอยู่ อันการศึกครั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้วิตกเลย จะขออาสาท่านยกไปตั้งอยู่ปากอ่าวเมืองกังแฮกำจัดเสียให้ได้

ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงว่า ซึ่งท่านจะคิดสู้โจโฉนั้นก็เหมือนน้ำใจของข้า จิวยี่จึงตอบว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงมาตรว่าจะตายในสงครามก็มิได้คิดปรารมภ์ ถึงท่านกลัวแต่จะไม่แน่นอน ซุนกวนจึงชักเอากระบี่ออกแล้วก็ฟันลงที่มุมโต๊ะ ประกาศเป็นอาญาสิทธิ์ว่า ผู้ใดจะมาว่าให้เราไปคำนับโจโฉก็จะตัดศีรษะเสีย ทำดังนั้นแล้วก็ยื่นกระบี่มอบให้แก่จิวยี่เป็นแม่กองทัพหลวง ให้เทียเภาเป็นปลัดผู้ใดมิได้อยู่ในบังคับบัญชาก็ให้ตัดศีรษะเสีย จิวยี่คำนับรับเอากระบี่แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราได้อาญาสิทธิ์แล้ว ผู้ใดอย่าประมาทต่อหน้าที่ที่จะทำการรบพุ่งโจโฉครั้งนี้ จงไปพร้อมกันชายทะเล ถ้าผู้ใดขาดช้าอยู่จะเกณฑ์เอาราชการมิทัน เราจะเอาโทษแก่ผู้นั้น ว่าแล้วก็ลาซุนกวนออกมา ครั้นมาถึงบ้านจึงให้หาขงเบ้งมาปรึกษาว่า บัดนี้นายเราก็ยอมที่จะต่อสู้ด้วยโจโฉแล้ว ขอท่านช่วยคิดอุบายที่จะทำการนั้นเถิด
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เราช่วยคิดการนั้นก็จะเป็นไรมี พอจะช่วยคิดตามสติปัญญาได้บ้างอยู่ แต่ทว่ายังมิวางใจเลย ด้วยเห็นอารมณ์นายท่านยังรวนเรนัก จิวยี่จึงว่า ท่านเห็นกระไรจึงว่าดังนี้ ขงเบ้งจึงว่า เราเห็นว่านายท่านรู้ข่าวว่าทหารโจโฉมาก ก็ปรารมภ์อยู่ว่าทหารตัวน้อยกลัวจะสู้มิได้ ขอท่านอย่าเพ่อวุ่นวายก่อน กลับเข้าไปพูดจาเอาเนื้อเอาใจนายท่านอย่าให้สะดุ้งสะเทือนให้มั่นคงแน่นอนแล้วเราจึงจะได้คิดการสะดวก จิวยี่จึงว่า ท่านว่านี้ชอบอยู่แล้วจิวยี่ก็กลับเข้าไปหาซุนกวน ซุนกวนเห็นจึงถามว่า เวลาค่ำมืดป่านนี้ท่านเข้ามามีธุระสิ่งใดหรือ
จิวยี่จึงว่า ข้าพเจ้าจะกะเกณฑ์ทหารทั้งปวงนั้น ยังคิดแคลงใจอยู่หน่วยหนึ่ง จึงกลับเข้ามาหาท่านหวังจะใคร่รู้ว่า ท่านยังมีความวิตกสิ่งใดอยู่หรือว่าหามิได้แล้ว ซุนกวนจึงว่า ซึ่งท่านกลับมาถามเราทั้งนี้ดีอยู่แล้ว เราก็ยังมีความวิตกอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยโจโฉมีทหารมาก ฝ่ายเราน้อยตัวนักกลัวจะสู้มิได้จะเสียการไป
จิวยี่จึงว่า นี่แลข้าพเจ้ามาบัดนี้หวังจะชี้แจงให้ท่านเข้าใจ ด้วยโจโฉให้มีหนังสือมาว่ามีทหารถึงร้อยหมื่นนั้น ความข้อนี้หาจริงไม่ เป็นกลอุบายล่อลวงดอก อันทหารโจโฉนั้นมีอยู่แต่สิบห้าสิบหกหมื่น ทั้งได้ทหารอ้วนเสี้ยวมาเป็นเชลยด้วย ถึงว่าจะยกมาทำการก็จะวิตกไปไยแก่ทหารอ้วนเสี้ยวอันเป็นคนจำใจ คิดแต่จะออกจากโจโฉอยู่ทุกเช้าค่ำ แม้จะทำการก็มิเต็มมือ อนึ่งทหารโจโฉก็มาทางไกลสารพัดจะขัดสน เราอยู่ใกล้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ทุกสิ่งหรือจะสู้มิได้ ถึงจะมากก็เหมือนน้อย ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาเอาทหารไปแต่ห้าหมื่น จะคิดทำการกำจัดโจโฉเสียให้ได้ ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจยกมือลูบหลังจิวยี่แล้วจึงว่า ซึ่งท่านชี้แจงให้เราสิ้นสงสัยบุญคุณนักหนา นี่หากว่าท่านได้ช่วยอุปถัมภ์ แต่เตียวเจียวหาเป็นที่พึ่งได้ไม่ แต่นี้ไปเรามิได้มีความวิตกแล้ว ท่านกับเทียเภา โลซกจงเร่งจัดแจงทหารรีบยกไปเถิด ตัวเราจะยกทหารอุดหนุนไป ถ้าขัดสนประการใดจงให้คนรีบมาบอกเรา ตัวเราจะยกเข้าต่อสู้โจโฉเอง จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็คำนับแล้วลาออกมา จึงคิดว่าขงเบ้งนี้พูดจาหลักแหลมนัก ล่วงรู้น้ำใจนายเราไปก่อนเราอีกเล่า อนึ่งจะคิดการสิ่งใดก็ดูเหมือนจะข้ามศีรษะเราเสียได้ ครั้นจะนิ่งไว้บัดนี้นานไปก็จะเป็นศัตรู จำจะกำจัดเสียให้ได้ แล้วให้หาโลซกเข้ามาบอกความลับซึ่งจะคิดฆ่าขงเบ้งนั้นให้ฟังทุกประการ
โลซกจึงว่า ท่านคิดนี้มิชอบ ด้วยโจโฉยกมาจะทำร้ายแก่เรายังกำจัดเสียมิได้ แลเมื่อท่านฆ่าขงเบ้งเสียแล้ว การสงครามจะติดพันไปเบื้องหน้า แต่ตัวท่านผู้เดียวหามีผู้จะช่วยคิดอ่านไม่ จะมีหนักอกนักหรือ อันขงเบ้งนี้มีสติปัญญาพอจะช่วยท่านได้ อนึ่งจูกัดกิ๋นพี่ชายก็อยู่ในเมืองกังตั๋ง ถ้าให้ไปว่ากล่าวชักชวนเอามาไว้ทำราชการด้วยเราจะมิดีหรือ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าจึงให้หาขุนนางเข้ามาพร้อมกันในที่ปรึกษา ขณะนั้นเทียเภามีความน้อยใจว่าตัวเราเป็นผู้ใหญ่สูงอายุ จิวยี่เป็นเด็กขึ้นนั่งที่สูง จะให้เราเป็นผู้ใหญ่นี้น้อยหน้าไปนั่งปรึกษาราชการด้วยในที่ต่ำ ก็ให้บุตรมาแทน บอกว่าป่วยอยู่
จิวยี่จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก อันเราจะคิดอ่านทำการนั้นจะโลเลมิได้ ท่านทั้งปวงจะทำการด้วยเรา ใครอย่าเกียจคร้านย่อหย่อน ถ้าผู้ใดมิเต็มใจเขม้นทำการ เราก็จะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก แล้วจิวยี่ก็ตั้งให้อุยกาย ฮันต๋งเป็นกองหน้าคุมทหารลงเรือรบพร้อมไว้ จึงให้เจียวขิม จิวท่ายคุมทหารกองหนึ่ง ให้เล่งทอง พัวเจี้ยงคุมทหารกองหนึ่ง ให้ไทสูจู้ ลิบองคุมทหารกองหนึ่ง ให้ลกซุน ตังสิดคุมทหารกองหนึ่งตั้งลิหอง จูตีคุมทหารเป็นกองสอดแนม
ครั้นจิวยี่จัดแจงนายทัพนายกองสำเร็จแล้วจึงสั่งว่า ท่านทั้งปวงจงเร่งไปตระเตรียมให้พร้อมมูลกัน ถ้าได้ฤกษ์แล้วเราจะยกกองทัพไปปากอ่าวเมืองสำกั๋งนายทัพนายกองทั้งปวงก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารตระเตรียมไว้พร้อมตามคำจิวยี่สั่ง
ฝ่ายเทียจู๋บุตรเทียเภา เห็นจิวยี่จัดแจงทหารทัพบกทัพเรือดังนั้น ก็เอาเนื้อความมาบอกเทียเภาผู้เป็นบิดาทุกประการ เทียเภาได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจเอามือลูบอกเข้าว่า จิวยี่นี้กูคิดว่าเป็นเด็กมิได้รู้สิ่งใด กลับรู้ดีกว่าผู้ใหญ่อีกเล่า ทั้งมีสติปัญญาสามารถจัดแจงทหารวางกองทัพถูกที่ตามขบวนศึก สมควรที่จะเป็นแม่ทัพหลวงได้ แลตัวกูมาคิดประมาทดังนี้ผิดมิควร เทียเภาก็ไปหาจิวยี่ถึงที่อยู่แล้วจึงขอขมาว่า ข้าถือทิฐิมานะว่าเป็นผู้ใหญ่ ประมาทท่านสำคัญว่าเป็นเด็กมิได้มาปรึกษาราชการคำนับท่านนั้นผิดนักหนา ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด จิวยี่หัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านประมาทนั้นข้าพเจ้าหาถือโทษไม่ อย่าวิตกเลยเทียเภาได้โอกาสดังนั้นแล้วก็ลามา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น