วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณ

By Thepoetry4u

thepoetry4u.blogspot.com

     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยมีความฝัน ความฝันที่ยิ่งใหญ่ เคยมีช่วงเวลาที่เราใฝ่ฝันอยากจะเป็นใครสักคน เป็นอะไรสักอย่างหรือเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เดินทางไปรอบโลก หรือต้องการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่บางเรื่อง ฯลฯ แต่โชคร้ายที่เมื่อชีวิตดำเนินไป ผู้คนหลายล้านคนต่างพากันหลงลืมความฝันเหล่านี้ ลืมไปแม้กระทั่งความจริงที่สำคัญว่าเราคือผู้กำหนดชะตาของเราเอง รวมทั้งเป็นผู้กำหนดบทสรุปให้กับตัวเอง


     ในปี 1957 มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปดินเหนียวของวัดแห่งหนึ่งไปยังสถานที่ใหม่ เมื่อรถเครนยกพระพุทธรูปขึ้น ปรากฎว่าพระพุทธรูปนั้นมีน้ำหนักมากและทำให้เริ่มเกิดรอยแตกร้าว ซ้ำร้ายฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยความเกรงว่าองค์พระพุทธรูปจะเสียหายมากไปกว่านั้น คณะทำงานจึงหย่อนพระพุทธรูปลงแล้วใช้ผ้าคลุมไว้และตัดสินใจจะทำงานกันต่อในวันรุ่งขึ้น และในคืนนั้นเองที่พระสงฆ์รูปหนึ่งสังเกตเห็นแสงสะท้อนจากพระพุทธรูปองค์นั้นบริเวณรอยร้าว และด้วยความสงสัยจึงได้นำฆ้อนและชะแลงมาสกัดชั้นนอกของดินเหนียวออก สิ่งที่ได้เห็นเบื้องหน้าก็คือความจริงที่ว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นอันที่จริงไม่ใช่พระพุทธรูปดินเหนียวอย่างที่เข้าใจมาตลอด แต่ภายในเป็นองค์พระพุทธรูปทองคำแท้ขนาดใหญ่โตมโหฬาร

     นักโบราณคดีจำนวนมากเชื่อว่า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี พระสงฆ์ชาวไทยเกรงว่าทัพพม่าจะมาทำลายองค์พระพุทธรูปทองคำ จึงได้นำดินเหนียวมาปั้นปกปิดองค์พระไว้ แต่พระเหล่านั้นไม่รอดจากภัยสงครามและต่อมาอีกหลายร้อยปี องค์พระพุทธรูปทองคำที่แท้จึงได้ปรากฏโฉมขึ้นอีกครั้งด้วยความบังเอิญ

     เช่นเดียวกับองค์พระพุทธรูปทองคำ เราทุกคนต่างมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเองและมีความยอดเยี่ยมอยู่ในตัว แต่เนื่องจากการต้องต่อสู้กับเรื่องราวมากมายของชีวิต เราจึงมองเห็นแค่ผิวชั้นนอกของชั้นดินที่หุ้มห่อตัวเราเองอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นทองคำภายในตัวเอง

     หลายปีก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์คอนเวิร์ส (Converse) เคยใช้โฆษณาว่า "Champions are born and then unmade" หรือ "แชมเปียนเกิดขึ้นมาแต่ถูกทำให้หลงลืมความยิ่งใหญ่ที่ตัวเองมี" โฆษณานี้บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ที่เราต่างมีในตัวเอง นับตั้งแต่เราลืมตาขึ้นดูโลก จากนั้นไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อเรื่องขีดจำกัดและการไม่สามารถเอาชนะในเรื่องต่างๆ ได้ ทั้งที่เราเกิดมาเพื่อชนะ แต่เรากลับยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ว่าเราไม่ดีพอหรือไม่ได้เกิดมาเพื่อชนะในเรื่องต่างๆ

     ตอนเป็นเด็กเราต้องพบกับการกำหนดความเชื่อต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เชื่อหรือไม่ว่าเด็ก ป.6 จะได้ยินคำพูดต่างๆ ในทำนอง "อย่านะ หนูทำอย่างนั้นไม่ได้, หนูทำไม่ได้หรอก, เป็นไปไม่ได้หรอก" โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 70,000 ครั้ง! ซ้ำร้ายไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของการปลูกฝังความคิดที่ไม่สร้างสรรค์และบั่นทอนความเชื่อมั่นในตัวเองของคนจำนวนมาก ตลอดช่วงของการเติบโต เรายังจะต้องพบกับถ้อยคำและความคิดเชิงลบอีกมากมายนับไม่ถ้วน มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความเป็นอัจฉริยะ แต่ไม่นานนัก เด็ก 9,999 คนจาก 10,000 คนจะสูญเสียความเป็นอัจฉริยะนั้นไปเมื่อเติบโตขึ้น"

     เรื่องแปลกแต่จริงก็คือเมื่อโตขึ้น เรามักจะกำหนดขอบเขตของความเป็นไปได้ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง แต่เรากลับเลือกที่จะเชื่อในขอบเขต กรอบ หรือความเชื่อที่ใครคนอื่นมากำหนดให้ ลองถามตัวเองดูว่ามีกี่ครั้งที่เราคิดว่าพบความคิดที่สุดยอดแล้วไปเล่าให้กับคนอื่นๆ ฟัง แต่บทสรุปที่เราได้ยินก็ไม่พ้น "เธอทำอะไรนะ, แต่เธอไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเลยนะ, แต่เธอไม่ได้เรียนมานะ เธอไม่มีทุนขนาดนั้น เธอขาดทักษะที่ต้องใช้นะ" ฯลฯ ที่ล้วนแต่บั่นทอนความเชื่อมั่นทั้งสิ้น และในช่วงเวลาที่อ่อนไหว เราก็มักจะหลงเชื่อความคิดเชิงลบเหล่านั้นเสียทุกทีไป

     ผู้คนจำนวนมากต่างพากันเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงได้นั้นย่อมต้องมีทักษะความสามารถที่พิเศษสุดๆ จึงจะสามารถทำได้เช่นนั้น แต่จากการวิจัย เรากลับพบว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย หลังจากการศึกษายาวนานกว่า 5 ปี กับสุดยอดศิลปิน นักกีฬา และนักเรียนทุนกว่า 120 ราย ด็อกเตอร์ เบนจามิน บลูม และทีมวิจัยของเขาพบว่าความสำเร็จมีปัจจัยสำคัญมาจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทมากกว่าการมีพรสวรรค์หรือทักษะพิเศษโดดเด่นเหนือคนอื่น

     ด็อกเตอร์บลูมยังเสริมด้วยว่า คงเคยได้ยินพ่อแม่ที่ชอบเปรียบเทียบว่า "ลูกคนนั้น ฉลาดหรือเก่งกว่าลูกคนนี้มาก" แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นว่าลูกคนที่พ่อแม่ชมนักหนาว่าเก่ง ฉลาด กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับลูงที่ไม่เก่งนักแต่ขยัน เคยสังเกตหรือไม่ว่าคนที่ รู้สึกว่าตัวเองเก่ง มีพรสวรรค์มักจะขี้เกียจกว่าคนที่ตระหนักดีว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจหรือมีพรสวรรค์อะไรมากมาย

     ตัวอย่างที่ผมอยากเล่าให้ฟังคือ เรื่องของวิลล์ เคลล็อกก์ (Will Kellogg) ซึ่งเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย ขี้อาย ไม่ค่อยรู้เรื่องรอบๆ ตัวมากนัก และไม่มีพรสวรรค์พิเศษที่โดดเด่นอะไร วิลล์ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองขณะที่มีอายุถึง 46 ปี โดยก่อนหน้านี้เขาทำงานให้กับพี่ชายที่ชื่อ ดร.เคลล็อกก์ ซึ่งจ่ายเงินเดือนให้บิลแค่ 87 เหรียญเท่านั้นเอง

     อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่ทดลองพัฒนาอาหารใหม่ๆ สำหรับผู้ป่วยวิลล์ค้นพบ "คอร์นเฟลค" โดยบังเอิญ เนื่องจากบังเอิญวางหม้อต้มธัญพืชนานเกินไป วิลล์โน้มน้าวให้พี่ชายลงทุนกับสิ่งที่ค้นพบเพื่อขายให้ผู้บริโภค แต่ ดร.เคลล็อกก์กลับปฏิเสธและดูถูกด้วยว่าใครจะไปกินของแปลกๆ พรรค์นั้น ต่อมาในปี คศ.1906 วิลล์ที่ยังยึดมั่นในความเชื่อของตนเอง ลาออกจากงานและทำการตลาดสินค้าดังกล่าว และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้วิลล์กลายเป็นหนึ่งในชายที่รวยที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา

     คนจำนวนมาก เลือกที่จะยอมละทิ้งความฝันของตัวเองไปง่ายๆ ก่อนที่จะได้เริ่มพยายามด้วยซ้ำ เพราะความกลัวในใจของตัวเอง พวกเขากลัวอะไรน่ะหรือ? กลัวสารพัด กลัวความไม่แน่นอน กลัวความล้มเหลว กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังกลัวที่จะประสบความสำเร็จ ลงท้ายก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ไปโดยไม่เคยมีความสุข และมองคนอื่นๆ ก้าวถึงเป้าหมายได้คนแล้วคนเล่า และเอาแต่โทษว่าคนอื่นๆ โชคดี มีความพร้อมมากกว่า ฯลฯ

     ขณะที่คนอีกกลุ่มเลือกที่จะยอมให้ความล้มเหลวในอดีตมาเป็นตัวกำหนดอนาคตของตน และยอมรับง่ายๆ ว่า ตัวเองคงไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เพราะทำอะไรก็พลาดก็ล้มเหลวมาโดยตลอด

     คนที่ล้มเหลวมักจะหาเหตูผลมารองรับว่าอะไรทำให้ตนเองไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ แต่สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ เขาจะมองหาเหตุผลที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างที่ต้องการ

     นายหลานศตวรรษที่มนุษย์เชื่อกันว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาลและดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก แม้ปราชญ์มากมายก็เชื่อเช่นนี้ ตราบจนกระทั่งกาลิเลโอพิสูจน์ได้ว่าความเชื่อเดิมๆ นั้นไม่ถูกต้อง และในการที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เขาต้องนำผู้นำในขณะนั้นไปยังหอคอยดูดาวที่ซานมาร์โก้และด้วยกล้องดูดาวที่พัฒนาขึ้นใหม่ เขาจึงแสดงการค้นพบของตนเองแน่นอนว่าเป็นการขัดต่อความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนานอย่างสิ้นเชิง ผู้นำในขณะนั้นโมโหมากและสั่งลงโทษกาลิเลโอเพื่อให้เขาล้มเลิกความเชื่อนั้น และเพื่อให้ตำแหน่งของตัวเองไม่สั่นคลอน แต่กาลิเลโอก็ไม่ละทิ้งความเชื่อของตัวเอง จนในที่สุดท่านผู้นำก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ถูกค้นพบนี้ได้

     เช่นเดียวกันกับท่านผู้นำในยุดของกาลิเลโอ คนที่ไม่อาจมองเห็นความเป็นไปได้ของตัวเองก็มักจะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ในตัวเราเช่นกัน คนจำนวนมากมักจะทำเป็นคนที่รู้ดีไปหมดว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเราและมักจะสรุปเอาเองว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ น่าแปลกที่ความคิดส่วนใหญ่ที่เขาคิดมักจะเป็นการฉุดรั้งไม่ให้เราเจริญก้าวหน้าไปกว่าตัวเขาเอง ถ้าไม่ระวังให้ดี เราเองก็จะตกหลุมพรางความเชื่อที่จะดึงเราให้ห่างไกลออกจากความฝันของตัวเองได้ง่ายๆ

     สิ่งสำคัญคือการที่เราต้องบอกตัวเองให้กล้าหันหลังให้กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์เหล่านั้น ข้อเท็จจริงที่เราต้องรู้ก็คือยังมีคนเก่งอีกมากที่ไม่เคยคิดจะออกเดินทางด้วยตนเอง แต่มักจะทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญที่คอยตำหนิติเตียนการเดินทางของคนอื่นๆ ไปทั่ว คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่เราควรไปข้องเกี่ยวด้วยเพราะไม่มีประโยชน์อะไรแถมยังมีแต่บั่นทอนความมั่นใจของเราเปล่าๆ

     ความจริงก็คือ เราต่างมีพลังในตัวเองมากกว่าที่คิดไว้มากมาย แต่เงื่อนไขที่สำคัญคือการที่ต้องเริ่มจากการที่คุณต้องเชื่อเสียก่อน มิฉะนั้นเมื่อพบกับความกดดัน เราก็มักจะพร้อมจะถอยกลับมาอยู่ในกรอบความคิดที่คนส่วนใหญ่คิดและเชื่อกันอีกครั้ง ลองตั้งคำถามสำคัญกับตัวเองว่าคุณใช้ชีวิตในแบบที่เหมาะสมสำหรับการประสบความสำเร็จตามที่ใฝ่ฝันหรือยัง ทอมรัสก์ (Tom Rusk) ผู้เขียนหนังสือ I Want to Change, But I don't know how กล่าวว่าคนจำนวนมากต่างพอใจที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบปลอดภัยไว้ก่อน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะนั่นสามารถทำให้คนเหล่านั้นอยู่ได้กับความเชื่อที่ว่า "ถึงฉันจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายอะไร แต่ก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ จากการเสี่ยงเหมือนกัน"

     มหาตมะ คานธี, แกรนด์มา มอสส์, สตีเว่น สปีลเบิร์ก, โรซ่า ปาร์ค, สตีป จ็อบส์ และโอปรา วินเฟรย์ บุคคลที่โด่งดังเหล่านี้เป็นตัวอย่างได้อย่างอย่างดีถึงความเป็นไปได้ พวกเขาต่างแหกกฎความเชื่อเดิมๆ ก้าวข้ามขีดจำกัดของความเชื่อเดิมๆ และเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองให้โลกต้องบันทึกไว้ได้ ลองหยุดแล้วตั้งคำถามกับตัวเองสักนิดว่า หากพวกเขาทำได้แล้วมีเหตุผลอะไรที่คุณจะทำไม่ได้ล่ะ อะไรคือจุดแข็งของตัวเอง คุณต้องมีสิ่งที่ทำได้ดีและโดดเด่นอยู่แน่ๆ แล้วค้นมันพบแล้วหรือยัง และถ้าพบแล้วมันดีพอหรือเปล่าที่จะทำให้คุณกล้าเลือกวิ่งตามความฝันและใช้ชีวิตอย่างที่ฝัน

     แม้เราจะได้แรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่จากบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมาย แต่ในบางครั้งเราก็อดไม่แน่ใจตัวเองไม่ได้ บางทีเราอาจรู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นไปได้ แต่กลับไม่แน่ใจว่ามันเป็นไปได้ แต่กลับไม่แน่ใจว่ามันเป็นไปได้ สำหรับเราหรือเปล่า หรือตัดสินตัวเองจากอดีตของตัวเอง โดยเราจะคิดว่า "ฉันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย, ฉันไม่เก่งพอหรอก, ฉันทำไม่ได้แน่ๆ" คำแนะนำก็คือ หยุดคิดแบบนั้นได้แล้ว!  ได้เวลาบอกตัวเองว่าคุณมีพลังในตัวเองและมีดีพอที่จะเป็นผู้ชนะ ที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องเลือกที่จะเป็นแบบนี้เสียก่อน

     คนที่พิเศษ คือคนธรรมดาๆ ทั่วไปที่สร้างเรื่องที่ไม่ธรรมดาให้เกิดขึ้นได้ คนเหล่านี้หลานคนไม่ได้ร่ำเรียนมาสูงๆ มีพรสวรรค์ที่พิเศษ มีทรัพยากรและข้อได้เปรียบอื่นๆ แต่อย่างใด คนเหล่านี้เองต่างก็มีความกลัวและความไม่แน่ใจเหมือนๆ กับคุณ แถมหลายคนยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ก็เลือกที่จะลงมือทำตามที่ตัวเองเชื่อ โทมัส เอดิสันมีโอกาสได้เรียนตามปกติเพียง 3 เดือน, วิลเลี่ยม แลร์ เจ้าของบริษัท Lear Jet Corporation เลิกเรียนเมื่ออยู่เกรด 6, โอปรา วินเฟรย์ เติบโตมาจากสภาวะของเด็กที่มีปัญหาและสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่, ไอน์สไตน์เป็นเด็กที่ไม่ยอมพูดจนกระทั่งอายุ 4 ขวบและเคยถูกครูด่าว่าเขา "เป็นคนหัวทึ่ม เข้ากับใครไม่ได้และเอาแต่จมอยู่กับความฝันโง่ๆ ของตัวเอง" นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ของผู้ที่เริ่มต้นจากการติดลบแต่ลงท้ายด้วยการประสบความสำเร็จและกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลก

     ไม่ว่าขีดจำกัดจะเป็นอะไร คุณเองสามารถทำให้สำเร็จได้ ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะดูไม่เป็นใจขนาดไหน ความเป็นไปได้สำหรับคุณยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คาร์ล โจเซฟ เป็นชายที่เกิดมาพร้อมกับขาข้างเดียว แต่สิ่งที่เขาทำคือการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา เขาเลือกที่จะฝึกเล่นฟุตบอล และเขาสามารถทำได้ดีขนาดติดทีมรวมดาราสมัยที่เรียนไฮสคูล จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเคยพาดหัวข่าวว่า "เขาวิ่งได้เร็วและทุ่มเทอย่างหนัก ถ้าไม่บอกคุณไม่มีทางรู้เลยว่าชายคนนี้มีขาเพียงข้างเดียว"

     ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถดังค์ได้ในการเล่นบาสเก็ตบอล หรือในกรีฑาเขาสามารถกระโดดได้สูงถึง 5 ฟุต 10 นิ้ว ทั้งที่มีขาเพียงข้างเดียว และด้วยความโดดเด่นและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตานี้เอง เขาได้รับทุนการศึกษาสำหรับนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก โดยคาร์ลกล่าวว่า "ทุกอย่างอยู่ที่ใจทั้งนั้น ใจของผมบอกตัวเองเสมอว่าผมทำมันได้ จากนั้นก็ลงมือทำและผมก็จะทำมันได้จริงๆ ผมจะไม่เอาแต่กังวลว่าจะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ผมอยากจะบอกคือคุณต้องลงมือลองทำดู แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้" ลองถามตัวเราเองดูว่าเคล็ดลับอะไรที่ทำให้คาร์ลประสบความสำเร็จได้ เขาสร้างนิสัยอย่างไรที่แตกต่างจากผู้คนทั่วไปที่มักจะยอมแพ้ง่ายๆ อะไรทำให้เขาได้รับทุนนักกีฬาทั้งที่มีขาเพียงข้างเดียว คุณคงเริ่มเห็นได้แล้วว่าพื้นฐานที่สำคํของการจะประสบความสำเร็จคืออะไร อ่านส่วนต่อไปของบทความนี้ แล้วกฎต่างๆ จะค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นทีละน้อย

     การจะประสบความสำเร็จนั้น อายุและความสามารถเป็นสิ่งมีผลน้อยมาก โดยทั้งหมดที่ต้องทำคือยึดมั่นในสิ่งที่คุณเชื่อ อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการและพยายามเพื่อทำมันให้เป็นจริงโดยไม่คิดถึงโอกาศที่จะล้มเหลว ตัวอย่างเช่น แมทท์ เดมอน และเบน เอฟเฟล็คสองนักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูดในปัจจุบัน ทั้งสองคนเริ่มตามหาความฝันของตัวเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยจับคุ๋กันหามุมสงบๆ เพื่อคุยกันเรื่องโปรเจกต์การแสดง ขณะที่จอร์จ ปาร์เกอร์สร้างเกมเศรษฐีขึ้น ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ซึ่งนี่คือเกมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเกมหนึ่งของโลก ลักษณะนิสัยแบบไหนที่ทำให้ชายหนุ่มสองคนสร้างเว็บไซต์ google ขึ้นและในที่สุดจากความฝันเล็กๆ ก็เติบโตเป็นธุรกิจหมื่นล้านได้ภายในเวลาไม่กี่ปี พอจะมองออกไหมว่าชายหนุ่มเหล่านี้มีอะไรที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

     ขณะที่อีกด้านหนึ่ง การประสบความสำเร็จ อายุที่มากขึ้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน คนอย่างแจ็ค เวลซ์, โดนัลด์ ทรัมป์, แซม วอลตันหรือเดฟ โทมัสเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ความจริงข้อนี้ให้เห็นได้ชัดเจน คนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการจะประสบความสำเร็จ อายุที่น้อยหรือมากเกินไปไม่มีผลอะไรทั้งนั้น เป้าหมายต่างๆ ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น

     นอร์แมน มาคลีน อายุ 73 ปี ขณะที่ไม่ยอมรีไทร์ เขาสอนวิชาวรรณกรรมที่มหาวิทยาลัยชิคาโกมานานกว่า 30 ปี เขามีความรู้สึกบางอย่างที่ยังดังก้องอยู่ภายในใจตัวเองมาเสมอ นอร์แมนเชื่อว่าตัวเองเป็นนักเขียนได้ เขาตัดสินใจใช้เวลา 2 ปี ในเคบินที่มอนตาน่าไปกับการเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียวและในที่สุดจากความเชื่อก็เปลี่ยนเป็นหนังสือชื่อดัง A River Runs Through It

     จอร์จ เอลเลียสเคยพูดไว้ว่า "ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเลือกเป็นคนที่คุณควรจะเป็น" แอนนา แมรี่ โรเบิร็ตสัน มอสส์เริ่มสเก็ตภาพตั้งแต่อายุยังน้อย โดยใช้แรงบันดาลใจที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ เธอใช้ลูกเบอร์รี่สร้างสีให้กับภาพวาดของเธอ แต่เมื่อเติบโตขึ้นหน้าที่อื่นๆ ในฟาร์มก็ทำให้เธอต้องห่างหายไปจากการวาดภาพ กว่า 60 ปีที่เธอไม่เคยได้จับพุ่กันวาดภาพ แต่ในปี คศ.1938 เธอก็เกษียณจากงานทำฟาร์มและเริ่มวาดภาพอีกครั้ง ในวันที่เธอเสียชีวิตในอีก 23 ปีถัดจากนั้นเธอมีภาพที่วาดมากมายหลายพันรูป ซึ่งเป็นภาพจากความทรงจำตั้งแต่วัยเยาว์ของเธอและเธอกลายเป็นที่รู้จักของโลกในนามของแกรนต์มามอสส์ ลองถามตัวเองสิครับว่าอะไรที่ทำให้คุณยายมอสส์เป็นที่จดจำไปทั่วโลก

     นอร์แมน มาเคลีนและคุณยายมอสส์สอนอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับความสำเร็จ พวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจหรือเปล่า

     ผมเองไม่รู้ว่าคุณอายุเท่าไหร่แล้วหรือสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ผมยังไม่ทราบด้วยว่าอดีตที่ผ่านมาของคุณเป็นอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีทางทราบด้วยว่าอนาคตของคุณจะเป็นเช่นไร คนเดียวที่จะตอบคำถามนี้ได้ก็คือตัวคุณเอง แต่สิ่งที่ผมเข้าใจก็คืออดีตที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งที่จะนำมากำหนดอนาคตของคุณเสมอไป คุณสามารถตัดสินใจในวันนี้เพื่อเปลี่ยนชีวิตคุณได้โดยการทำความเข้าใจถึงเคล็ดลับต่างๆ ในหนังสือบทความนี้ แล้วลงมือไล่ล่าความฝันของคุณอย่างมุ่งมั่น อย่างที่สตีเฟ่น โควี่ย์ กล่าวว่า "ลึกๆ ภายในใจเราทุกๆ คนมีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ต้องการสร้างความแตกต่างอยู่เสมอ"

     เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงในบทความนี้อย่างดี เธอยากจนสุดๆ ประสบกับปัญหาตกงาน และเป็นคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แต่เธอไม่เคยละทิ้งความฝันและความเป็นตัวของตัวเอง ช่วงหนึ่งที่ชีวิตยากแค้นจนถึงที่สุด เธอรับเงินสวัสดิการสังคมเพียง 105 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ เธอเคยเล่าว่าเธอต้องพยายามประหยัดและใช้จ่ายทุกๆ เพนนีอย่างรอบคอบที่สุด เธอยอมอดข้าวและไปนั่งในร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อประหยัดค่าไฟที่ต้องใช้กับเครื่องทำความร้อนที่บ้าน ที่นี่เอง คือสถานที่ที่เธอเขียนงานวรรณกรรมเยาวชนเรื่องหนึ่งโดยมีเจสสิก้า ลูกสาวน้อยๆ ของเธองีบหลับอยู่ใกล้ๆ

     แม้ว่าโรว์ลิ่งจะต้องประสบกับความยากลำบากขนาดไหนเธอก็ไม่เคยละทิ้งความฝัน เธอเขียนหนังสือเรื่องนั้นจนจบได้ และหลังจากรอคอยการตอบรับจากสำนักพิมพ์กว่า 3 ปี หนังสือเรื่องนั้นก็ได้ตีพิมพ์และกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการหนังสือทั่วโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์วรรณกรรมเยาวชนเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ นับจากนั้นมาหนังสือของเธอขายได้กว่า 300 ล้านเล่มทั่วโลก และโรว์ลิ่งกลายเป็นนักเขียนที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดตลอดกาล

     เห็นไหมครับว่า เจ.เค. โรว์ลิ่ง รู้ดีว่าอะไรที่ทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมาได้

     โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์ม กล่าวว่า "สิ่งที่ผ่านไปแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึงมีผลกับเราน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในใจของเราเอง" ผมตั้งสมมติฐานว่าคุณอ่านบทความนี้เพราะคุณเชื่อในสิ่งต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็นไปได้ หรือไม่คุณก็ต้องการจะเชื่อในสิ่งนั้นๆ ที่คิดว่าเป็นไปได้ หรืออาจจะอ่านบทความนี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ หรือต้องการหาแนวคิดอะไรสักอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้ หรืออาจต้องการหนังสือสักเล่มที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ให้เพื่อนหรือให้องค์กร หากข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวมาคือคำตอบที่ถูกต้อง คุณกำลังอ่านหนังสือถูกเล่มแล้วล่ะครับ

     เช่นเดียวกับกฎแห่งธรรมชาติ ยังมีกฎที่ควบคุมประสิทธิภาพของตัวเราเอง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อความสำเร็จที่เราจะทำได้ ครูคนหนึ่งของผมกล่าวว่า "การประสบความสำเร็จคือผลของความคิดและการเลือกทำสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม"

     ในส่วนต่างๆ ต่อไปนี้ คุณจะได้พบกับกฎทอง 13 ข้อที่จะส่งผลต่อความสำเร็จและการก้าวไปยังเป้าหมายที่ต้องการ สิ่งสำคัญประการแรกที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ คุณต้องเชื่อเสียก่อนว่าความฝันเป็นจริงได้ เป้าหมาย ไม่วาจะเล็กหรือใหญ่ ความสำเร็จ ส่วนตัวหรือส่วนรวมเป็นไปได้ทั้งสิ้น บทสรุปที่สำคัญคือ ถ้าคิดว่าทำได้ คุณก็ทำได้! ใช่เลยครับ....คูณทำได้


---------------------------------
โปรดติดตามต่อ
Thepoetry4u

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น