thepoetry4u.blogspot.com
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีในตอนนี้คือผลสะท้อนจากสิ่งที่คุณต้องการจะมีและความทุ่มเทมุ่งมั่นเพื่อสิ่งเหล่านั้น
อริสโตเติล กล่าวว่า “เมื่อคุณกล้าคาดหวัง คุณจะได้รับมัน”
เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการคุณต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะคาดหวังและเรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
หลายปีที่แล้ว ขณะที่ทำงานให้กับแอนโทนี่
ร็อบบิ้นส์ ผมได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการแค่สนใจในเรื่องบางเรื่อง
กับการทุ่มเทเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาในชีวิตนั้นเราจะได้รับเฉพาะสิ่งที่เราต้องการจริงๆ
เท่านั้น หากเราไม่ได้ต้องการอะไรอย่างจริงจังที่สุด
เราก็มักจะไม่ได้ทำสิ่งที่จะส่งผลให้เราบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง
เมื่อคนเราเพียงแค่สนใจอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ทุมเทเต็มร้อย
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือการที่เราจะทำสิ่งต่างๆ เมื่อสะดวกเท่านั้น
แต่สำหรับคนที่ทุ่มเทเพื่อมุ่งเป้าไปที่สิ่งนั้นๆ
จะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
แล้วเราจะบอกได้อย่างไรว่าใครเพียงแค่ “สนใจ”
กับคนที่ “เอาจริง” เรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก
คนที่แค่สนใจมักจะเอาแต่พูดและพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยไม่ลงมือทำอะไร
ขณะที่คนเอาจริงมักจะลงมือทำโดยไม่ต้องพูดให้มากความ
โดยคนที่เอาจริงจะเริ่มจากการคิดว่า “มันคงจะดีถ้าเรามีสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้...”
จนเปลี่ยนเป็น “ฉันต้อง-ฉันจะ-ฉันต้องทำให้ได้” จากนั้นก็ลงมือทำและทำ!
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะรู้จักเรียกร้องและเค้นสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเองออกมา
ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะยอมผ่อนปรนกับสิ่งที่ตัวเองเป็น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนที่ต้องการประสบความสำเร็จจะตั้งมาตรฐานกำหนดความคาดหวังของตัวเองไว้สูง
พวกเขารู้ดีว่าต้องเสียสละบางอย่างเพื่อให้สามารถก้าวไปสู่จุดที่ต้องการได้
ขณะที่คนอื่นอาจจะพักหรือหยุด
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จยังเคี่ยวกรำตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ประธานาธิบดีจอห์น
เอฟ เคเนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวไว้ว่าตัวเขานั้น “ทำสิ่งที่ต้องทำ
โดยไม่สนใจเรื่องอุปสรรค อันตราย และความกดดัน”
เราทุกคนต่างมีพลังในการที่จะทำให้สิ่งต่างๆ
ให้เกิดขึ้นในชีวิตได้ เมื่อเรามีความต้องการในสิ่งนั้นอย่างที่สุด
และยินดีทุ่มเททุกอย่างแบบสุดตัวเพื่อให้ได้มันมา แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ เองก็ได้เรียนรู้ถึงความจริงข้อนี้
เมื่อต้องการอะไรสักอย่างพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ต่อให้คุณบอกว่า “ไม่ได้”
เป็นสิบๆ ครั้งก็ตาม และโดยมากคุณก็ต้องยอมแพ้และให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ
แต่น่าแปลกที่เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรากลับหลงลืมสัญชาตญาณแบบเดียวกันนี้
เรามักจะเอาแต่ผ่อนปรนและผ่อนปรนจนกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ติดตัวคือการยอมแพ้ง่ายๆ
โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในโลกก็คือการยอมรับสภาพนั่นเอง
ครั้งหนึ่งตัวผมเองเคยถูกเรียกให้ไปนั่งเรียนในคลาสพิเศษเกี่ยวกับการอ่าน
เนื่องจากเป็นคนอ่านหนังสือช้า สิ่งที่ผมจำได้ดีเสมอก็คือการถูกกำหนดให้นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนเป็นพิเศษ
เพื่อพัฒนาการอ่านและหลังจากอ่านแล้วจะต้องทำการทดสอบ
ซึ่งผลก็ยืนยันว่าผมเป็นคนอ่านหนังสือได้ช้าจริงๆ
บทสรุปที่ได้ในวันนั้นคือผมไม่ใช่คนอ่านหนังสือที่เก่งและอาจจะไม่มีทางเป็นได้ด้วย
นั่นเป็นเรื่องน่าผิดหวังมาก
ผมจำได้ว่าเคยรู้สึกอิจฉาสตีฟ
พี่ชายของผมที่อ่านหนังสือได้เก่งและอ่านหนังสือทุกคืนก่อนที่จะเข้านอน ตอนอายุแค่
11 ขวบเขาก็อ่านหนังสือเล่มหนาปึ้กได้แล้ว เรานอนห้องเดียวกัน
ดังนั้นทุกคืนก่อนที่สตีฟจะนอนผมจะขอให้เขาเล่าให้ฟังถึงหนังสือที่เขาอ่าน
และเขาก็ยินดีเล่าให้ผมฟังอย่างเต็มใจ
ในที่สุดผมก็ได้แรงบันดาลใจจากความสนุกสนานที่พี่ผมได้รับจากการอ่าน
ทำให้ผมอยากอ่านหนังสือได้เก่งบ้าง
ต่อมาผมบอกแม่ว่าผมอยากเรียนอ่านหนังสือให้ได้อย่างสตีฟบ้างแล้วขอให้แม่ซื้อหนังสือให้อ่าน
แม่ตกลงและบอกว่าจะทำแบบเดียวกับที่เคยทำให้สตีฟ แล้วแม่ก็ซื้อหนังสือเล่มแรกมาให้
หลังจากผมอ่านจบแล้วแม่ก็ซื้อเล่มที่สองมาให้อีก
แต่ผมเลือกที่จะไม่อ่านเรื่องซ้ำกับที่สตีฟเคยอ่าน
แต่แค่เริ่มหน้าแรกผมก็รู้สึกได้ถึงความยากของการอ่าน ผมอ่านหน้าแรก 3-4 รอบและไม่เข้าใจว่าผมกำลังอ่านอะไร
คืนนั้นดูจะเป็นอีกครั้งที่ผมถูกตอกย้ำด้วยความคิดว่า “ผมไม่มีทางเป็นนักอ่านที่ดีได้”
คนที่จะเป็นนักอ่านที่เก่งได้ต้องมีพรสวรรค์หรือคุณสมบัติอย่างที่สตีฟมี
และที่สุดผมก็บอกกับตัวเองว่าการคิดจะเป็นนักอ่านแบบสตีฟนั้นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าเลยจริงๆ
บางครั้งเราก็เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะมันง่ายกว่าที่จะอยู่ที่เดิมแบบเดิมๆ
ต่อไป ในกรณีของผม เป็นเพราะผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองและเลือกที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
นับจากนั้นอีกนานทีเดียวที่ผมไม่หยิบหนังสือมาอ่านจนกระทั่งเข้าไฮสคูล
วันหนึ่งผมเข้าไปในห้องนอนของพ่อและพบเทปคาสเซ็ตม้วนหนึ่งในตู้เสื้อผ้า
มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า วันที่ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเอง และอีกด้านเขียนไว้ว่า
การมีชีวิตโดยเป็นอิสระทางการเงิน สำหรับผมในวัน 16 ปี
ที่มาจากครอบครัวใหญ่และมีฐานะการเงินไม่จัดว่าดีนัก
มันจึงเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
ผมหยิบเทปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วกลับขึ้นไปบนห้องนอนที่นอนร่วมกับพี่น้องอีก
2 คน
ก่อนจะหย่อนเทปใส่วอล์คแมนแล้วเสียบหูฟังเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดและพื้นฐานการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
ผมทึ่งกับสิ่งที่ได้ฟังมาก ผมฟังเทปนั้นราว 20 รอบในเดือนแรก
ผู้บรรยายท่านนั้นต้องถือว่าเป็นครูตัวจริงของผม เขาคือ จิม รอห์น
โดยหนึ่งในแนวคิดที่เขาสอนไว้ในเทปม้วนนั้นก็คือ “ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลง
คุณต้องเปลี่ยนแปลง” คุณไม่ต้องรอให้แฟน เจ้านาย เพื่อน หรืออะไรก็ตามเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ความจริงก็คือ หากคุณจะเปลี่ยน โลกทั้งใบก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ทันที
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือเขาสอนว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จต้องเป็นนักอ่านที่ดีและผมบอกตัวเองได้ทันทีว่าผมต้องการประสบความสำเร็จ
เทปม้วนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหาเทปที่พูดถึงเรื่องต่างๆ
ในหัวข้อเหล่านี้มาฟังเพิ่มเติม สิ่งสำคัญที่ทุกคนเน้นย้ำก็คือ
คุณต้องยกระดับมาตรฐานของตัวเองและไม่เพียงคาดหวังมากขึ้นเท่านั้น
แต่ยังต้องเรียกร้องจากตัวเองให้มากขึ้นด้วย
สิ่งที่เราทุกคนต้องทำหากต้องการประสบความสำเร็จคือการฝึกนิสัยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าระดับทั่วไปและความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้เองที่จะส่งผลอย่างมากต่อการแยกผู้ประสบความสำเร็จออกจากคนที่สะกดคำว่า
“สำเร็จ” ไม่เป็น
ในที่สุดผมก็เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ต่อการเป็นนักอ่านที่แย่อีกต่อไป
เพราะไม่ต้องการให้เรื่องเล็กๆ แค่นั้นมาเป็นอุปสรรคต่อความต้องการประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าผมจะเลือกเป็นอะไรก็ตามที ผมเก็บเงินและซื้อหนังสือเล่มแรก ชื่อ The Adventure of
Leadership ที่เขียนโดยแฮป คลอปป์ (Hap Klopp) ผมใช้เวลาเกือบๆ 4 เดือนกว่าจะอ่านมันจบ
จากนั้นผมซื้อหนังสือเล่มที่สองคือ Live Your Dreams โดยเลส
บราวน์ (Les Brown) ผมอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้จนจำได้ขึ้นใจ
โดยส่วนตัวผมเองต้องถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างมาก
และจากนั้นมาผมก็กลายเป็นคนอ่านหนังสือตลอด
แต่ละเดือนผมต้องอ่านหนังสือใหม่เล่มโตๆ ไม่ต่ำกว่า 3-4 เล่ม
จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจครั้งนั้น
และความตั้งใจจริงของผมเป็นส่วนที่สำคัญ
และทำให้ผมเอาชนะสิ่งที่เคยเป็นจุดอ่อนของตัวเองให้สำเร็จ
ผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และส่งผลถึงสิ่งที่ผมเป็นในปัจจุบัน
ที่ผมทำก็คือการเปลี่ยนจากการพูดว่า มันคงดีนะถ้าผมอ่านหนังสือเก่ง
มาเป็นผมจะตั้งใจหัดอ่านให้สำเร็จ เมื่อคุณเปลี่ยนจาก “ความสนใจ” เป็น “ความตั้งใจ”
คุณจะทำได้เมื่อยกระดับมาตรฐานของตัวเองให้สูงขึ้นกว่าเดิมและเริ่มลงมือทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเท่านั้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกทำอะไร ที่ต้องทำคือยึดมั่นกับสิ่งที่ต้องการ
หากคุณต้องการผลที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจากงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ หรือชีวิต
คุณย่อมต้องพร้อมจะทุ่มเทเพิ่มขึ้น
คุณต้องกำหนดมาตรฐานที่แท้จริงของตัวเอง
เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ไม่ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคใดๆ
และคุณเองคือคนที่ต้องยึดมั่นกับมาตรฐานนั้นเพราะจะไม่มีใครคอยมาควบคุมนอกจากตัวคุณเอง
ลองคิดถึงการลดน้ำหนัก เฉพาะ
คนที่มุ่งมั่นและมีวินัยในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ
ในหนังสือชื่อ Working
with Emotional Intelligence แดเนียล โคลแมนกล่าวว่า “เหตุผล 80% ของคนลดน้ำหนักกลับมาอ้วนอีกก็เพราะการที่ยอมแพ้ต่อไลฟ์สไตล์ในแบบเดิมๆ”
การจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ย่อมต้องการการเสียสละและทุ่มเทในระยะสั้นเพื่อผลในระยะยาว
และเป็นเรื่องจำเป็นที่อาจจะต้องสละบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการประสบความสำเร็จนั้นๆ
เช่นกรณีของผม
แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะยอมแพ้แล้วบอกกับตัวเองว่า เลิกเถอะ
ผมไม่มีทางกลายเป็นคนอ่านหนังสือเก่งได้เลย หากยอมอะไรง่ายๆ
แบบนั้นก็จะกลายเป็นนิสัยติดตัวที่ทำให้ห่างไกลจากความสำเร็จ
และผมคงก้าวมาไม่ถึงจุดที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ
การยอมลดมาตรฐานลงมา
ย่อมง่ายกว่าการขยับมาตรฐานให้สูงขึ้นการไหลไปตามกระแสของคนส่วนใหญ่ย่อมง่ายกว่าการคิดต่าง
ทำต่างคำแนะนำก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่พบทางเลือกระหว่างวิธีที่สบายหรือง่ายกว่ากับวิธีที่ต้องอาศัยการพิสูจน์ตัวเอง
ให้เลือกทางที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง อเล็กซ์ ออสบอร์นกล่าวว่า “หากคุณไม่คิดจะก้าวให้เหนือกว่าสิ่งที่คุณควบคุมได้อยู่แล้ว
คุณจะไม่มีวันเติบโตได้เลย”
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าสิ่งต่างๆ ที่คุณมี
เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความคิดของคุณ โดยหากคุณไม่คิดที่จะต้องการสิ่งนั้นจริงๆ
ก็จะไม่มีวันได้มันมา เช่น ถ้าคุณต้องการรายได้เพิ่มขึ้น บ้านหลังใหญ่ขึ้น
โรงเรียนที่ดีขึ้น สำหรับลูกๆ ฯลฯ
คุณต้องเลือกที่จะยกมาตรฐานและความคาดหวังกับตัวเองให้มากขึ้น
อย่ายอมให้ตัวเองมีสภาพเป็นคนที่กลับมาบ้านกินมื้อเย็น ดูโทรทัศน์
แล้วเอาแต่บ่นซ้ำๆ ถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของตัวเอง แต่ไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น
ถ้าคุณทำงานอย่างทุ่มเทแต่ดูไม่มีอนาคตอะไรและรู้สึกว่าคุณควรได้รับผลตอบแทนหรือมีโอกาสที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
ให้ลาออกเสีย
อย่าเอาแต่รอหรือทำงานอย่างไม่มีความสุขจนถึงวันที่คุณเป็นฝ่ายถูกเชิญให้ออก
ชีวิตสั้นกว่าที่คิด
และอย่าเสียเวลาในชีวิตไปกับสิ่งที่ไร้เป้าหมายหรือไม่ดีพอสำหรับตัวเอง
หากคุณรู้สึกว่าได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควร
ลองหาทางเพิ่มคุณค่าของคุณภายในองค์กร
แต่หากเลือกที่จะทำงานนั้นต่อไปไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร
ก็จงตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเพื่อตัวเองและองค์กร
ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับช่างก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก
เขาทำงานให้กับบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งมานาน ก่อนที่เขาจะเกษียณ
เจ้านายของเขาขอให้เขาสร้างบ้านอีกหลัง โดยบอกว่าเป็นหลังสุดท้ายที่จะให้เขาสร้าง
ช่างคนนั้นรับงานนั้นมาทำอย่างไม่ตั้งใจ เลือกใช้วัสดุคุณภาพต่ำและใช้คนงานที่ทำงานหยาบๆ
และทำงานแบบไม่เต็มใจ หลังจากบ้านหลังนั้นเสร็จ เขาก็แทบบ้า
เมื่อเจ้านายเดินมาหาแล้วบอกว่า “ขอบคุณที่ทุ่มเททำงานให้เรามาตลอด
บ้านหลังนี้ผมตั้งใจมอบให้คุณเป็นของขวัญวันเกษียณ ขอให้มีความสุขมากๆ นะ”
นายช่างคนนั้นรู้สึกเสียใจทันทีที่เขาไม่เลือกใช้วัสดุดีๆ
รวมทั้งพนักงานฝีมือดีหากเขารู้ว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านที่เขาจะได้
เขาก็คงจะไม่ทำแบบนั้น ช่างคนนั้นกับบางคนก็ไม่ต่างกัน ความคิด นิสัย
และชีวิตที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่จะกำหนดสิ่งที่เขาจะได้อยู่กับมันในอนาคต
ไม่ว่าจะอย่างไร อาจมีจุดหนึ่งที่ทำให้ย้อนกลับไปมองวันเวลาเก่าๆ
ที่ผ่านมาแล้วรู้สึกผิดหรือเสียดายที่ไม่ได้ทุ่มเทกับสิ่งนั้นๆ ให้เต็มที่
“หากวันนี้คือวันสุดท้ายที่คุณจะมีชีวิตอยู่
ลองทบทวนถึงชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา ลองตอบตัวเองว่าเกิดมาคุ้มและตายตาหลับจากไปอย่างมีความสุขหรือเปล่า
หรือคุณมีแต่เรื่องน่าเสียใจ น่าเสียดายเต็มไปหมด มีอะไรที่อยากทำ
แต่ไม่เคยกล้าทำมากมายหลายเรื่องใช่ไหม” เฮเลน เคลเลอร์กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ชีวิตนั้นสามารถเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจหรือไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้”
หนึ่งในวิธีการทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าคือการยกระดับมาตรฐานของตัวเองขึ้นจากเดิม
การยึดมั่นกับมาตรฐานที่สูงขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
คุณจะพบว่าเมื่อคุณพยายามผลักดันตัวเอง
จะมีคนจำนวนหนึ่งที่มองคุณด้วยสายตาไม่เข้าใจ
อาจจะคิดว่าคุณบ้าหรือคิดอะไรไม่เข้าท่า หรือจะทุ่มเททำงานหนักขนาดนั้นไปเพื่ออะไร
วอลท์ ดิสนีย์มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างโลกแห่งความสุขให้ผู้คนทั่วโลก
คุณเชื่อไหมว่าเขาเคยพบกับความล้มเหลวมาแล้วร่วม 300 ครั้ง
แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นและเชื่อในสิ่งที่คิด และไขว่คว้าสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
ครั้งหนึ่งวิศวกรคนหนึ่งบอกเขาว่า “วอลท์
คุณจะประหยัดได้มากเลยนะถ้าปรับอุโมงค์ให้ตรง” เขาตอบกลับสั้นๆ ว่า “งั้นเราก็อย่าทำมันเลยดีกว่าไหม”
จะเห็นได้จากตัวอย่างนี้ว่าการตั้งมาตรฐานที่สูง
ส่งผลให้ดิสนีย์แลนด์ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
วินซ์ ลอมบาร์ดี้
อาจจะไม่ใช่ผู้เล่นที่โดดเด่นหรือมีพรสวรรค์มากมายอะไร แต่เขาคาดหวังและเค้นสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเองเสมอ
ครั้นหนึ่งเขาลงเล่นตลอดเกมหลังจากมีรอยฉีกในปาก และเมื่อจบเกม เขาต้องเย็บถึง 30 เข็ม ที่เขาทำคือไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
และทดทนต่อความเจ็บปวดจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องของโรเจอร์
แบนนิสเตอร์ ซึ่งในปี 1954
เขาเป็นคนแรกที่ทำลายสถิติการวิ่งได้ระยะหนึ่งไมล์โดยใช้เวลาต่ำกว่า
4 นาที แต่คุณทราบมั๊ยว่าคนที่เทรนให้แบนนิสเตอร์ คือ
ดร.โทมัส เคิร์ก เคอร์ตัน ผู้อำนวยการของแล็บทดสอบความฟิตแห่งมหาวิทยาลัยอิลินอยส์
เขาได้พัฒนาระบบที่ช่วยให้คนวิ่งได้เร็วขึ้นและเพิ่มระดับพลังงานของตนเองได้มากขึ้น
โดยระบบแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ อย่างแรกต้องฝึกความแข็งแกร่งให้ร่างกายทุกส่วน
และสองคือฝึกตัวเองให้คุ้นเคยกับความกดดัน ทำให้ดีที่สุด โดย ดร.เคอร์ตันกล่าวว่า “ศิลปะของการทำลายสถิติคือความสามารถในการดึงขีดความสามารถที่แท้จริงของคุณออกมาได้มากกว่าที่คุณคิดว่าตัวเองมี”
คุณต้องทุ่มให้สุดตัวเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ จำไว้ว่า “เกือบ”
นั้นมันไม่ดีพอ ในโลกปัจจุบัน การทุ่มเทในระดับที่ “เกือบดีที่สุด”
อาจจะไม่พอให้คุณคว้าฝันมาครองได้
สิ่งที่คุณต้องทำคือเดินหน้าใส่ให้เต็มร้อยเท่านั้น
-----------------------------------------------------------
โปรดติดตามต่อ
Thepoetry4u
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น