วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

"สามก๊ก" ตอนที่ 12

ในขณะนั้นข้าวแพงราษฎรทั้งปวงอดอยาก ชวนกันไปขุดรากหญ้าแลเปลือกไม้มากินต่างอาหาร ขุนนางผู้น้อยแลทหารกับราษฎรทั้งปวง ซึ่งเที่ยวซอกซอนเข้าไปเก็บผักหักฟืนในตึกแลช่องกุฎิห้องคลังที่เพลิงไหม้แต่ก่อน ผนังตึกแลซุ้มประตูถล่มลงทับตายเป็นอันมาก

ฝ่ายเอียวปิวจึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า พระองค์ทรงพระอักษรมอบข้าพเจ้าไว้นั้น ข้าพเจ้ายังมิได้เอาไปให้โจโฉ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่าท่านเร่งแต่งคนเอาไปให้โจโฉ ให้หาตัวเข้ามาช่วยราชการในเมืองลกเอี๋ยง เอียวปิวจึงแต่งทหารให้ถือพระอักษรไปให้โจโฉ โจโฉเห็นพระอักษรดังนั้น ก็รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับไปอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาเราเข้าไปช่วยราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

ซุนฮกจึงว่าครั้งพระเจ้าจิ๋วซองอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น บ้านเมืองเป็นจลาจล พระเจ้าจิ๋วซองอ๋องให้หาจิ๋นบุนก๋งเข้าไปช่วยราชการเมือง ขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาจิ๋นบุนก๋ง อยู่มาจิ๋นบุนก๋งก็ได้ราชสมบัติโดยง่าย ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาท่านเข้าไปช่วยราชการก็ได้ทีแล้ว ควรที่จะยกเข้าไปตามรับสั่ง ถ้าท่านช้าอยู่ หัวเมืองผู้ใดที่มีฝีมือยกเข้าไปถึงก่อน ราชการก็จะสิทธิ์ขาดอยู่กับผู้นั้น ขอท่านยกเข้าไปให้ทันที

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงทหารทั้งปวงได้ประมาณสามสิบหมื่นพร้อมแล้ว ยกไปถึงกลางทาง พอม้าใช้มาบอกให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า กองทัพลิฉุย กุยกียกมาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง จึงทรงพระดำริว่า บ้านเมืองก็ยังมิได้ตกแต่งค่ายคูประตูหอรบ ทหารในเมืองก็น้อย ทั้งผู้ถือหนังสือไปหาโจโฉนั้นก็ยังมิกลับมา จึงตรัสปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ลิฉุย กุยกียกมาใกล้ด่านอยู่แล้วทหารเราก็น้อย ผู้ใดจะคิดประการใด

เอียวฮอง หันเซียมจึงทูลว่า ซึ่งลิฉุย กุยกียกมานั้นพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบป้องกันสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต ตังสินจึงตอบว่าในเมืองลกเอี๋ยงนี้ ก็ยังมิได้แต่งค่ายคูประตูหอรบ ถึงท่านทั้งสองจะยกออกไปต่อรบด้วยลิฉุย กุยกีนั้น เราเห็นจะเสียแก่มันฝ่ายเดียว เราคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้หนีไปข้างหัวเมืองตะวันออก พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย ตังสินกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหสีขึ้นรถออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปทางประมาณยี่สิบเส้น พอเห็นกองทัพยกมาข้างทิศตะวันออก ทหารทั้งปวงโห่ร้องอื้ออึงเป็นอันมาก ผู้ถือหนังสือรับสั่งก็ขับม้าควบมาก่อนถึงหน้ารถจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพถึงกลางทาง รู้กิตติศัพท์ว่าลิฉุย กุยกียกเข้ามาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุย คุมทหารห้าหมื่นเป็นทัพหน้ายกรีบมา หวังจะได้ป้องกันรักษาพระองค์ก่อน พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี

ฝ่ายแฮหัวตุ้นรู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกมา ก็พาเคาทู เตียนอุยเข้าไปกราบถวายบังคม พอนายม้าใช้ผู้หนึ่งเข้ามากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เห็นกองทัพยกมาข้างทิศตะวันออกอีกกองหนึ่ง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นไปสืบดูว่าจะเป็นกองทัพผู้ใดยกมา

แฮหัวตุ้นออกไปดูพบโจหอง ลิเตียน งักจิ้นคุมทหารมา จึงพานายทหารทั้งสามคนเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วทูลว่าโจโฉให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุยยกมาก่อนนั้น เห็นว่าทหารน้อยนักจึงให้ข้าพเจ้าทั้งสามนี้คุมทหารยกตามมา หวังจะได้ช่วยรบด้วย ฆ่าอ้ายพวกเหล่าร้ายเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้น จึงตรัสว่า โจโฉมีสติปัญญาเป็นอันมาก แล้วก็มีใจสัตย์ซื่อต่อเรา ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน

ฝ่ายม้าใช้ข้างทิศตะวันตกมากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ทัพลิฉุย กุยกีเข้ามาในแดนแล้ว หาผู้ใดต้านทานมิได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้น จึงตรัสแก่แฮหัวตุ้นว่า ทัพลิฉุย กุยกียกล่วงเข้ามาในด่านแล้ว ท่านจะคิดประการใดแฮหัวตุ้นจึงกราบทูลว่า ซึ่งพวกเหล่าร้ายยกเข้ามานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งปวงผู้เป็นทัพหน้าโจโฉ จะขออาสายกออกไปรบให้เหล่าร้ายแตกไปจงได้ แล้วก็กราบถวายบังคมลาออกมา แฮหัวตุ้นนั้นเป็นกองขวา โจหองเป็นกองซ้าย แล้วยกทหารไปรบกระหนาบฆ่าฟันทหารลิฉุย กุยกีเสียเป็นอันมาก ลิฉุย กุยกีต้านทานมิได้ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นหนีไป แฮหัวตุ้น โจหองก็ยกกลับมา จึงให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับเข้าไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดแจงทหารทั้งปวงตั้งล้อมวงอยู่นอกกำแพง
ฝ่ายโจโฉยกมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบถวายบังคมคุกเข่าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นโจโฉก็มีความยินดี จึงตรัสว่าท่านอย่าคุกเข่าเลย จงนั่งให้ปรกติเถิด โจโฉก็ทำตามรับสั่งแล้วทูลว่า ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ก่อนนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะสนองพระคุณมิได้ขาด ครั้งนี้ลิฉุย กุยกีทำการหยาบช้าต่อพระองค์นั้น อย่าให้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าลิฉุย กุยกีเสียให้ได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดีนัก จึงตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองว่าราชการทั้งฝ่ายทหารพลเรือน

ฝ่ายลิฉุย กุยกีซึ่งแตกไปนั้นซ่องสุมทหาร ครั้นรู้ว่าโจโฉยกมาถึงจึงปรึกษากันว่า ถ้าเราจะละไว้ช้าทหารโจโฉก็จะมีกำลังขึ้น จำเราจะยกเข้าตีอย่าให้ทันตั้งตัวได้ เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง กาเซี่ยงจึงว่าท่านคิดทั้งนี้ไม่ควร ด้วยโจโฉมีทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก ทหารเราก็น้อยเห็นจะต้านทานมิได้ อุปมาดังเนื้อไปสู้เสือ ขอให้แต่งคนไปขอโทษแล้วว่าจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมทำราชการด้วย เห็นโจโฉก็จะมีใจเมตตาท่านทั้งสอง ลิฉุย กุยกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า เราจะทำสงครามแก่โจโฉอยู่ ตัวมาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะให้ทหารเราเสียใจ แล้วลิฉุย กุยกีชักกระบี่ออกจะฟันกาเซี่ยงเสีย ทหารทั้งปวงเข้าขอโทษไว้ได้ กาเซี่ยงมีความน้อยใจ เวลาค่ำก็ขึ้นม้าหนีกลับไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้าลิฉุย กุยกีจัดแจงทหาร ให้ลิเซียม ลิเป๊กเป็นทัพหน้า แล้วยกไปจะรบด้วยโจโฉ

ฝ่ายโจโฉจึงให้เคาทู เตียนอุย โจหยิน คุมทหารม้าสามร้อยยกออกไป แล้วนายทหารทั้งสามคนก็ขับม้าฝ่าฟันทหารลิฉุย กุยกีเข้าไป ลิเซียม ลิเป๊กหลายลิฉุยเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบด้วยเคาทูยังมิทันได้เพลงหนึ่ง เคาทูเอาทวนแทงถูกลิเซียมตกม้าตาย ลิเป๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว มิทันเข้าสู้รบก็พลัดตกม้าลง เคาทูเอาทวนแทงซ้ำ แล้วตัดเอาศีรษะลิเซียม ลิเป๊กมาให้โจโฉ โจโฉก็มีความยินดีจึงเอามือลูบหลังเคาทู แล้วสรรเสริญว่าท่านมีฝีมือเป็นทหารเอก

โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นเป็นกองหน้า โจหยินเป็นกองซ้าย โจโฉเป็นกองหลวงยกเป็นหน้ากระดานขึ้นไปรบด้วยลิฉุย กุยกี แลทหารลิฉุย กุยกีนั้นล้มตายเป็นอันมาก ลิฉุย กุยกีก็แตกพ่ายไป โจโฉเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำกระบี่ไล่ตามฆ่าฟันทหารทั้งปวงไป

ฝ่ายทหารลิฉุย กุยกีก็ทิ้งอาวุธเสียมาเข้าด้วยโจโฉสิ้น แต่ลิฉุย กุยกีนั้นขับม้าหนีตามกันไปซ่อนอยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง โจโฉก็คุมทหารกลับมาตั้งอยู่นอกเมือง

ฝ่ายเอียวฮองรู้ว่าโจโฉยกไปตีทัพลิฉุย กุยกีแตกไป จึงปรึกษากับหันเซียมว่า โจโฉทำการครั้งนี้เห็นใหญ่หลวงนัก นานไปราชการในเมืองหลวง ก็จะสิทธิ์ขาดอยู่แก่เขา เราทั้งสองก็จะอยู่ในเงื้อมมือโจโฉ เราจะคิดกลอุบายว่า จะยกไปจับลิฉุย กุยกีฆ่าเสีย แล้วเราจะหนีไปอยู่เมืองไต้เหลียง หันเซียมเห็นชอบด้วยจึงพากันเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ซึ่งโจโฉยกออกไปตีทัพลิฉุย กุยกีแตกไปนั้นข้าพเจ้าทั้งสองจะขออาสายกทหารออกไปตาม จับลิฉุย กุยกีมาฆ่าเสียให้จงได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยอมให้ไป เอียวฮอง หันเซียมก็ลาออกมาจัดแจงทหารแลพรรคพวกของตัวพร้อมแล้วก็จกออกจากเมืองลกเอี๋ยง

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้ตังเจี๋ยวไปหาโจโฉเข้ามาจะปรึกษาราชการด้วย ตังเจี๋ยวรับสั่งแล้วก็ออกไปหาโจโฉ โจโฉเห็นรูปร่างตังเจี๋ยวพ่วงพีผิวเนื้อสดใส จักษุนั้นกลมโต คิ้วสุดหางตา โจโฉจึงว่าในเมืองหลวงนี้มิได้มีความสุข ทั้งข้าวปลาอาหารก็ขัดสน ตังเจี๋ยวบำรุงตัวประการใดจึงมีสีสันสมบูรณ์เหมือนบ้านเมืองปรกติดังนี้ ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้บำรุงตัวประการใดหามิได้ ข้าพเจ้ารับประทานแต่อาหารจนอายุได้สามสิบปี โจโฉหัวเราะแล้วว่า ท่านเป็นที่ขุนนางตำแหน่งใด ตังเจี๋ยวบอกว่าข้าพเจ้านี้เป็นชาวเมืองเต๊งโต๋ เป็นที่ปรึกษาอยู่กับอ้วนเสี้ยว ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าเหี้ยนเห้เสด็จกลับมาอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงแล้วจึงเข้ามาทำราชการ แล้วโปรดให้เป็นเจียงยี่หลง แปลภาษาไทยว่าเป็นที่ปรึกษา โจโฉจึงว่าเราได้ยินลืออยู่ช้านานแล้ว ซึ่งได้มาพบท่านนี้ก็เป็นบุญของเรา จึงให้แต่งโต๊ะแล้วหาตัวซุนฮกมาให้รู้จักไว้กับตังเจี๋ยว แล้วชวนซุนฮก ตังเจี๋ยวกินโต๊ะอยู่

พอม้าใช้มาบอกโจโฉว่า เห็นทหารกองหนึ่งยกออกมาจากเมืองลกเอี๋ยงไปทางทิศตะวันออก มิรู้ว่าผู้ใดเป็นนายทัพ โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปสืบดูว่า ทัพผู้ใดจะยกไปไหน ตังเจี๋ยวจึงห้ามโจโฉว่าอย่าใช้ทหารไปเลย ซึ่งผู้ยกไปนั้นสองนาย เอียวฮองนั้นเป็นพรรคพวกลิฉุย หันเซียมนั้นเป็นนายโจร เข้ามาทำราชการอยู่ในเมืองหลวง เอียวฮอง หันเซียมกลัวท่าน จึงพาพรรคพวกจะไปหลบหลีกอยู่ ณ เมืองไต้เหลียง โจโฉจึงถามว่า ซึ่งเอียวฮอง หันเซียมกลัวเราจึงออกไปจากเมืองนั้นเห็นจะสงสัยเราด้วยข้อใด ตังเจี๋ยวจึงตอบว่าอ้ายคนทั้งสองนั้นมิได้มีความคิดสิ่งใด ซึ่งจะสงสัยท่านนั้นเห็นเหลือความคิดมันนัก โจโฉจึงว่าซึ่งเอียวฮอง หันเซียมออกไปจากเมืองนั้น เห็นจะมีความคิดทำการต่างๆ ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า อ้ายคนทั้งสองนี้ อุปมาเหมือนเสือไม่มีเขี้ยวแลนกหาปีกมิได้ซึ่งจะคิดประการใดนั้นท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าเห็นว่านานไปก็จะได้ตัวเป็นมั่นคง

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ตังเจี๋ยวนี้พูดจาคมสัน จึงปรึกษากับตังเจี๋ยวว่าเมืองลกเอี๋ยงนี้เป็นอันตรายด้วยเพลิงไหม้เราจะคิดประการใด ตังเจี๋ยวจึงตอบว่าท่านยกทหารเข้ามากำจัดลิฉุย กุยกีนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวง ก็ค่อยมีความสุขขึ้นเพราะท่าน บัดนี้ท่านจะทำนุบำรุงแผ่นดิน แลรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้สืบไปด้วยความสุจริตนั้น ความชอบของท่านก็จะยิ่งขึ้นไปเป็นอันมาก แต่จะตบแต่งค่ายคูประตูหอรบในเมืองลกเอี๋ยงให้บริบูรณ์ขึ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นยังขัดสนอยู่ ด้วยขุนนางแลราษฎรทั้งปวงยังมิได้ตั้งตัวได้ เพราะขัดสนข้าวปลาอาหารแล้วเกลือกจะมีราชการสงครามมาก็จะลำบากแก่ทหารท่าน ขอให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวงก็จะมีความยินดีด้วย เหมือนหนึ่งท่านนิมิตเมืองใหม่ถวายได้ทันที หัวเมืองแลราษฎรทั้งปวงก็จะสรรเสริญท่านว่ามิให้ลำบากแก่ไพร่ ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้ขอให้ท่านดำริดูจงควร

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจับเอามือตังเจี๋ยวไว้แล้วว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้ต้องในความคิดเรา ถ้าเราจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแล้ว เอียวฮอง หันเซียมจะมาทำอันตรายกลางทางกระมัง ประการหนึ่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงนั้น ยังจะเห็นพร้อมด้วยหรือ

ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงในเมืองหลวงก็อดอยากข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก ขอให้ท่านประกาศแก่คนทั้งปวงว่าในเมืองลกเอี๋ยงนี้ขัดสนด้วยอาหาร จะเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ ทางใกล้กันกับเมืองโลเอี๋ยง ซึ่งข้าวปลาอาหารมีบริบูรณ์ จะได้จัดแจงให้เอาเสบียงมาส่งโดยง่ายขุนนางทั้งปวงก็จะพร้อมใจด้วยท่าน อนึ่งเอียวฮอง หันเซียมซึ่งหนีไปอยู่ ณ เมืองไต้เหลียงนั้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเอาใจไว้ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อท่านสืบไป
โจโฉได้ฟังก็มีความยินดี แล้วว่าเราจะคิดการสิ่งใดไปภายหน้าเราจะเชิญท่านมาปรึกษาด้วย ตังเจี๋ยวรับคำโจโฉแล้วลาไป โจโฉจึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงซึ่งจะเชิญเสด็จไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ เนื้อความยังมิตกลงกัน

ฝ่ายอองหลิบขุนนางจึงค่อยพูดจากันกับเล่าง่ายซึ่งเป็นเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าดูเห็นดาวไทเป็ก ภาษาไทยว่าดาวขาวนั้นสุกใสแต่ฤดูฝนมาจนถึงฤดูแล้ง บัดนี้ข้ามมากลบรัศนีดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะสูญเสียครั้งนี้ จะมีผู้ใดเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์นั่นเป็นที่งุยกับจิ้น แล้วอองหลิบจึงเอาเนื้อความทั้งนี้ลอบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้ตรัสประการใด

ฝ่ายโจโฉรู้กิตติศัพท์ซึ่งอองหลิบพูดกับเล่าง่าย ครั้นเวลาค่ำจึงใช้คนสนิทให้ไปว่ากับอองหลิบว่า ท่านมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน อันราชสมบัติแลการบ้านเมืองนั้นลึกซึ้งใหญ่หลวงนัก อย่าเพ่อให้ท่านล่วงทำนายไปก่อน คนใช้ก็ไปว่าแก่อองหลิบตามคำโจโฉว่าทุกประการ อองหลิบก็มิได้ว่าประการใด

โจโฉจึงให้หาซุนฮกมา แล้วบอกเนื้อความซึ่งอองหลิบว่านั้นให้ซุนฮกฟัง ซุนฮกจึงตอบว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นธาตุเพลิง ตัวท่านเป็นธาตุดิน ถ้าท่านคิดอ่านยกไปอยู่เมืองฮูโต๋ได้ ท่านจะคิดการสิ่งใดก็จะค่อยกว้างขวางขึ้นไป เห็นจะเหมือนคำอองหลิบว่าเป็นมั่นคง

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วทูลว่า เมืองลกเอี๋ยงนี้มีอันตรายจลาจลร้างโรยมาแต่ครั้งตั๋งโต๊ะแล้ว บัดนี้พระองได้เสด็จกลับมาอยู่ บ้านเมืองก็มิได้ปรกติ ขัดสนข้าวปลาอาหาร ถ้าจะให้ตกแต่งบ้านเมืองแลค่ายคูประตูหอรบขึ้นเล่า ก็จะลำบากแก่ไพร่ทั้งปวงนัก แลเมืองฮูโต๋นั้นประกอบด้วยค่ายคูประตูหอรบ อาณาประชาราษฎรก็มีทรัพย์สินมั่งคั่ง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ด้วยใกล้เมืองโลเอี๋ยง ถึงมาตรว่าจะมีสงครามก็จะได้ป้องกันสะดวก ข้าพเจ้าจะขอเชิญเสด็จพระองค์ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ เห็นขุนนางแลราษฎรทั้งปวงจะมีความสุข

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านจะคิดป้องกันบำรุงเราประการใดก็ตามเถิดเราไม่ขัด ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยรู้ดังนั้นต่างคนต่างกลัวโจโฉอยู่สิ้นมิได้ว่ากล่าวขัดแข็งประการใด โจโฉให้เร่งจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้วก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหสีขึ้นรถ ขุนนางกับพระสนมก็ตามมา โจโฉจึงยกทหารพาเสด็จออกจากด่านเมืองลกเอี๋ยงไปไกลประมาณหกสิบเส้น ถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พบเอียวฮอง หันเซียมคุมทหารโห่ร้องสกัดทางไว้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง ซิหลงนั้นจึงร้องว่าแก่โจโฉว่า จะพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแห่งใด โจโฉมิได้ตอบประการใด จึงให้เคาทูออกไปรบด้วยซิหลงได้สิบห้าเพลงก็มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉจึงให้ตีม้าล่อขึ้น เคาทูก็ชักม้ากลับเข้ามาซิหลงก็กลับไปค่าย โจโฉจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เอียวฮองกันหันเซียมนั้นเราคิดจะฆ่าเสีย แต่ซิหลงนั้นมีกำลังกล้าแข็ง เราจะใคร่ได้ไว้เป็นทหาร จำจะคิดให้ไปเกลี้ยกล่อมเอาซิหลงมาไว้ให้ได้

หมันทองจึงว่าซึ่งท่านจะใคร่ได้ซิหลงมาไว้นั้นท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับซิหลงรู้จักกันมา เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะอาสาปลอมเป็นทหารเลวไป ณ ค่ายซิหลง แล้วจะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมซิหลงให้มาอยู่ทำราชการแก่ท่านให้จงได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าท่านจงไปเกลี้ยกล่อมให้ได้ซิหลงมา ครั้นเวลาค่ำ หมันทองก็แต่งตัวเป็นทหารเลวปลอมเข้าไปถึงในค่าย เห็นซิหลงใส่เกราะจุดเทียนนั่งดูหนังสืออยู่ หมันทองจึงเข้าไปคำนับแล้วว่า แต่จากกันมาท่านยังค่อยมีความสบายอยู่หรือ

ฝ่ายซิหลงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นดู เห็นทหารแปลกหน้าก็ตกใจ ครั้นพิศแลดูก็จำได้แล้วทักว่า ท่านนี้หมันทองอยู่เมืองซันหยง เหตุใดท่านจึงมาหาเราในเวลากลางคืน หมันทองจึงตอบว่า ข้าพเจ้าทำราชการอยู่ด้วยโจโฉ เมื่อเวลากลางวันนั้นเราเห็นท่านออกไปรบกับเคาทู เรามิได้ทักทายท่าน แต่ใจนั้นคิดถึงอยู่จนเวลาค่ำ เรามิได้กลัวความตาย จึงปลอมเข้ามาหาท่านหวังจะเจรจาด้วย ซิหลงจึงเชิญให้นั่ง แล้วว่าท่านมาหาเราด้วยกิจสิ่งใดจงว่าไปเถิด

หมันทองจึงว่า ท่านมีกำลังรบพุ่งกล้าหาญเข้มแข็งหาผู้ใดเสมอมิได้ ขัดสนด้วยเหตุประการใด ท่านจึงมาอยู่ในเงื้อมมือเอียวฮอง หันเซียมนี้ไม่ควร โจโฉนั้นน้ำใจกว้างขวางอารีบำรุงเลี้ยงทหารมิให้อนาทร กิตติศัพท์ทั้งนี้ท่านก็ย่อมจะได้ยินอยู่บ้าง เมื่อท่านรบกับเคาทูนั้นโจโฉเห็น มีน้ำใจเอ็นดูท่านนัก จึงสั่งทหารทั้งปวงมิให้ยิงเกาทัณฑ์กลัวว่าท่านจะต้องบาดเจ็บ จึงให้เรามาเชิญท่านไป หวังจะสนทนาชี้แจงให้เห็นผิดแลชอบ ฝ่ายเราก็เห็นว่าท่านอยู่ที่มืด จงเร่งคิดผ่อนผันไปหาที่สว่าง จะได้มีความสุขสืบไป ซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้ด้วยความรักท่าน ท่านจงดำริดูให้สมควร

ซิหลงได้ฟังดังนั้นก็นั่งคิดอยู่ จึงทอดใจใหญ่แล้วตอบว่า เรารู้อยู่ว่าเอียวฮอง หันเซียมนั้นสติปัญญาน้อยจะคิดการใหญ่มิได้ แต่จำเป็นเพราะได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ครั้นจะทิ้งเสียบัดนี้ก็ไม่ควร หมันทองจึงว่าท่านไม่ได้ยินคำโบราณว่าไว้หรือ อันธรรมดานกจะทำรังก็ย่อมแสวงหาซึ่งพุ่มไม้ชัฎจะได้ทำรังอยู่เป็นสุข ถึงลมพายุใหญ่จะพัดหนักมา รังนั้นก็มิได้เป็นอันตราย ประการหนึ่งเป็นชาติทหาร จะหาแม่ทัพ ก็ให้พิเคราะห์ดูผู้ใจโอบอ้อมอารี แลชำนาญในการสงคราม ถึงข้าศึกจะยกมามากมายเท่าใดก็มิได้หวาดไหว คิดอ่านป้องกันมิให้ทหารทั้งปวงเป็นอันตราย ถ้าผู้ใดพบนายที่มีสติปัญญาหมายจะพึ่งได้แล้วไม่เข้าทำราชการด้วย อย่าให้คนทั้งปวงนับถือความคิดผู้นั้นเลย

ซิหลงได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้เราเห็บชอบด้วยเราจะทำตามท่าน หมันทองจึงตอบว่า ถ้าท่านจะไปทำราชการอยู่ด้วยโจโฉแล้วจงตัดเอาศีรษะเอียวฮอง หันเซียมไปเป็นกำนัลโจโฉเถิด ซิหลงจึงตอบว่า ธรรมดาเป็นบ่าวได้กินข้าวแดงของท่านแล้ว ถ้ามิพอใจอยู่ด้วย แลซ้ำทำร้ายแก่นายก็เป็นคนหากตัญญูมิได้ ซึ่งท่านจะให้ทำดังนี้เราไม่ยอมด้วย หมันทองได้ยินดังนั้นก็สรรเสริญว่า ท่านนี้มีกตัญญูนัก เราจงชวนกันไปหาโจโฉแต่ตัวเถิด ซิหลงจึงจัดแจงทรัพย์สิ่งสินของตัว แล้วพาพรรคพวกประมาณสามสิบคน ลอบหนีออกจากค่ายในเวลากลางคืน หมันทองก็นำไปค่ายโจโฉ
ขณะนั้นมีผู้เอาเนื้อความมาบอกเอียวฮองว่า บัดนี้ซิหลงพาพรรคพวกหนีไปหาโจโฉ เอียวฮองได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงคุมทหารพันหนึ่งยกตามไปในเวลากลางคืน ครั้นมาถึงกลางทางเห็นกองเพลิงบนเนินเขาสว่างอยู่ โจโฉเห็นเอียวฮองคุมทหารตามมา โจโฉจึงขับม้าเข้าล้อมไว้ แล้วร้องประกาศว่าเรามาคอยอยู่แต่เวลาพลบค่ำ ตัวอวดว่ากล้าหาญแล้วอย่าถอยหนีกัน เอียวฮองเห็นทหารล้อมไว้แล้ว ได้ยินเสียงโจโฉร้องมาก็ตกใจ จะพาทหารทั้งปวงถอยหนีไปก็มิได้ ด้วยทหารของโจโฉล้อมอยู่

ฝ่ายหันเซียมรู้จึงคุมทหารยกตามมา เห็นทหารโจโฉล้อมเอียวฮองไว้หันเซียมจึงรบฝ่าเข้าไปแก้เอาเอียวฮองออกมาได้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงขับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารเอียวฮองล้มตายเป็นอันมาก ที่เป็นอยู่นั้นมาเข้าด้วยโจโฉประมาณสองร้อยเศษ เอียวฮองกับหันเซียมเห็นจะต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นรีบหนีไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง

โจโฉก็พาทหารทั้งปวงกลับมา ณ ที่ประทับ หมันทองจึงพาซิหลงเข้าไปหาโจโฉ โจโฉเห็นหมันทองได้ซิหลงมาก็มีความยินดี จึงเอาเงินทองเสื้อผ้าให้ซิหลง จึงตั้งให้เป็นนายทหาร แล้วโจโฉก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงให้ปลูกตำหนัก ตกแต่งค่ายคูประตูหอรบไว้ให้พร้อม พระเจ้าเหี้ยนเต้เมื่อยู่ในเมืองฮู๋โต๋นั้น จึงตั้งตังสินกับขุนนางสามสิบคนเป็นเสนาบดี

ขณะนั้นโจโฉมีใจกำเริบ จึงตั้งตัวขึ้นเป็นมหาอุปราช แล้วตั้งซุนฮก ซุนสิ้ว กุยแก เล่าหัว ทั้งสื่อคนนี้เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน มอกาย เล็กโจ๋ ยิมจุ๋น สามคนนี้ได้กำกับคลังแลฉางข้าว เทียหยกเป็นเจ้าเมืองตังเป๋ง ฮวนเสงกับตังเจี๋ยวเป็นเจ้าเมืองลกเอี๋ยง หมันทองเป็นที่เจ้าเมืองฮูโต๋ แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหอง ทั้งสี่คนนี้เป็นทหารเอก ลิยอย ลิเตียน งักจิ้น อิกิ๋ม ซิหลง ทั้งห้าคนนี้เป็นทหารโท เคาทูกับเตียนอุยเป็นทหารตรี บรรดาทหารมีฝีมือทั้งนั้น ก็ตั้งเป็นขุนนางทั้งสิ้น แลในเมืองฮูโต๋นั้น ถ้าผู้ใดจะว่าข้อราชการสิ่งใดๆ ก็เอามาแจ้งแก่โจโฉก่อน จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะ แลหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะ ณ บ้าน โจโฉจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เล่าปี่ตั้งตัวขึ้นจนได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วแลลิโป้นั้นเป็นศัตรูเรา บัดนี้แตกหนีไปอาศัยเล่าปี่ เล่าปี่ให้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเกลือกลิโป้จะคิดกันกับเล่าปี่จะยกมาทำร้ายแก่เรา ท่านผู้ใดจะช่วยคิดอ่านล้างศัตรูเราเสียได้ เคาทูจึงว่าข้าพเจ้าขอทหารห้าหมื่น จะยกไปทำการตัดเอาศีรษะลิโป้กับเล่าปี่มาให้ท่าน

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า เคาทูเป็นทหารมีกำลัง แต่หาความคิดมิได้ ประการหนึ่งในเมืองฮูโต๋นี้ ท่านพึ่งยกมาซ่อมแปลงขึ้นใหม่ บ้านเมืองยังมิทันปรกติ ซึ่งจะยกไปนั้นข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย แลเล่าปี่กับลิโป้นั้นอุปมาดังเสือสองตัว ข้าพเจ้าจะคิดให้ชิงอาหารกันกิน เห็นเล่าปี่กับลิโป้จะเกิดรบพุ่งกันจนตายข้างหนึ่ง แล้วจึงคิดการต่อไป บัดนี้ท่านจงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นยังมิได้รับสั่งตั้งแต่ง ขอให้มีหนังสือไปตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว เห็นเล่าปี่จะเป็นใจทำราชการ ท่านจึงให้มีหนังสือไปบอกนั้นฉบับหนึ่งว่าท่านได้ช่วยทูล พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดตั้งเล่าปี่ให้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว แลลิโป้นั้นมักทำร้ายแก่ผู้มีคุณให้เล่าปี่คิดอ่านฆ่าลิโป้เสียจงได้ โจโฉเห็นชอบด้วย เข้าไปเฝ้าแล้วทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขอให้มีหนังสือไปตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้แล้วทรงพระอักษรให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว โจโฉก็รับเอาหนังสือรับสั่งออกมา จึงแต่งหนังสืออีกฉบับหนึ่งตามคำซุนฮกว่า แล้วส่งให้คนสนิททั้งสองฉบับ โจโฉจึงสั่งแก่ผู้ถือหนังสือให้บอกแก่เล่าปี่ว่า เราช่วยทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วให้ฟังกิตติศัพท์ว่า เล่าปี่จะคิดทำประการใดแก่ลิโป้บ้าง คนใช้ก็รับเอาหนังสือไปให้แก่เล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋ว เล่าปี่คำนับตามอย่างธรรมเนียมแล้วรับเอาหนังสือรับสั่งมาอ่านดูก็มีความยินดี จึงเชิญให้ผู้ถือหนังสือกินโต๊ะ ผู้ถือหนังสือก็กินโต๊ะแล้วบอกแก่เล่าปี่ว่า  ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งให้ท่านเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว เพราะโจโฉทูลเสนอให้ จึงเอาหนังสือโจโฉยื่นให้แก่เล่าปี่ แล้วบอกว่าหนังสือฉบับนี้โจโฉให้มาแต่ก่อน เล่าปี่แจ้งเนื้อความแล้วจึงว่า ท่านจงไปบอกแก่โจโฉว่า เราขอทุเลาตรึกตรองดูก่อน ครั้นเวลาค่ำจึงให้หาที่ปรึกษามา บอกว่าโจโฉให้มีหนังสือมาให้ฆ่าลิโป้เสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

เตียวหุยจึงว่าลิโป้นั้นน้ำใจหยาบช้า แล้วมิได้รู้จักคุณคน ถ้าจะฆ่าเสียตามคำโจโฉว่า ข้าพเจ้าก็เห็นชอบด้วย เล่าปี่จึงตอบว่าลิโป้ได้บากหน้ามาพึ่งแล้วครั้นเราจะทำอันตรายเสียบัดนี้ก็เห็นไม่สมควร นานไปใครจะมาอยู่ด้วยเล่า เตียวหุยจึงว่าท่านจะทำใจดีต่อคนร้ายนั้นไม่ได้ เล่าปี่ก็มิได้ฟังคำเตียวหุย

ฝ่ายลิโป้รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มีหนังสือตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ลิโป้ก็ไปเยือนเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้ารู้ว่ารับสั่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วยนัก พอเตียวหุยถือกระบี่เข้ามาจะฆ่าลิโป้ เล่าปี่เห็นก็ตกใจจึงลุกออกไปยุดเอากระบี่ไว้ ลิโป้จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวหุยนั้นมีความแค้นข้าพเจ้าด้วยสิ่งใด จึงมีใจพยาบาทจะฆ่าข้าพเจ้าเสียเป็นหลายครั้งมาแล้ว เตียวหุยได้ยินดังนั้นจึงตอบลิโป้ว่า ตัวมึงมิได้รู้จักคุณคน โจโฉจึงให้มีหนังสือมาถึงพี่กูให้ฆ่ามึงเสีย เล่าปี่จึงร้องตวาดแล้วให้ทหารเอาตัวเตียวหุยออกไปเสียภายนอก จึงพาลิโป้เข้าไปที่ข้างใน จึงเอาหนังสือโจโฉออกให้ดู แล้วบอกเนื้อความซึ่งโจโฉว่ามานั้นให้ลิโป้ฟังทุกประการ

ฝ่ายลิโป้เห็นหนังสือก็ร้องไห้ แล้วจึงว่าซึ่งโจโฉคิดทั้งนี้หวังจะให้ท่านกับข้าพเจ้ามีความสงสัย คิดร้ายเป็นศัตรูกันภายหน้า เล่าปี่จึงตอบว่าท่านอย่าวิตกเลย ถึงมาตรว่าจะมีผู้ยุยงประการใดเราก็มิได้เชื่อฟังคิดร้ายต่อท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายใจจึงว่า ซึ่งท่านออกปากทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ เล่าปี่ก็ชวนลิโป้กินโต๊ะอยู่จนเวลาเย็น แล้วลิโป้ก็ลาเล่าปี่ไป ณ เมืองเสียวพ่าย

กวนอู เตียวหุยจึงเข้ามาว่ากับเล่าปี่ว่า ท่านปล่อยให้ลิโป้กลับไปมิได้ฆ่าเสียตามหนังสือโจโฉมีมาด้วยเหตุประการใด เล่าปี่จึงตอบว่าน้ำใจโจโฉนั้นคิดจะให้เรากับลิโป้แหนงกัน จึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งเราเป็นเจ้าเมือง แล้วมีหนังสือของโจโฉมาให้เราคิดฆ่าลิโป้เสีย การทั้งนี้โจโฉคิดหวังจะให้ลิโป้กับเราเกิดรบพุ่งกัน ถ้าผู้ใดแพ้โจโฉก็จะทำศึกแก่ผู้มีชัยเป็นหน้าเดียว หากังวลหลังมิได้ ซึ่งเราจะทำตามโจโฉนั้นไม่ควร กวนอูเห็นชอบด้วย แต่เตียวหุยนั้นว่า ข้าพเจ้าจะคิดฆ่าลิโป้เสียให้ได้ ภายหน้าไปจึงจะไม่มีภัย เล่าปี่จึงว่าแก่เตียวหุยว่าซึ่งเจ้าจะคิดทำทั้งนี้ก็เหมือนหนึ่งคนหาปัญญามิได้

ฝ่ายผู้ถือหนังสือครั้นรู้กิตติศัพท์ทั้งปวงแล้ว ก็ลาเล่าปี่กลับไปแจ้งแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์นอกนั้นว่า เล่าปี่จะได้ทำตามหนังสือท่านหามิได้ โจโฉจึงปรึกษากับซุนฮกว่า เนื้อความซึ่งท่านคิดให้เราทำนั้น เล่าปี่ก็มิได้ทำตาม ท่านจะคิดประการใดเล่า ซุนฮกจึงว่าข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายอีกข้อหนึ่ง เรียกว่าเสือกลืนหมี โจโฉจึงถามว่าเสือกลืนหมีนั้นทำประการใด ซุนฮกจึงว่าน้ำใจลิโป้นั้นมิได้ซื่อต่อผู้ใด ขอให้ท่านแต่งคนไปบอกอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงว่า บัดนี้เล่าปี่มีหนังสือขึ้นมาให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า จะขอทหารยกไปตีเมืองลำหยง ถ้าอ้วนสุดรู้ดังนี้ก็จะโกรธ เห็นจะยกทหารชิงมารบเมืองเล่าปี่ก่อน ท่านให้มีหนังสือรับสั่งไปให้เล่าปี่ยกไปรบเมืองอ้วนสุด เมื่อเล่าปี่กับอ้วนสุดรบกันอยู่นั้น ถ้าผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ ลิโป้ก็จะซ้ำเอาเป็นมั่นคง ท่านจึงคิดการต่อไป โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งคนให้ไปบอกอ้วนสุด แล้วแต่งหนังสือรับสั่งให้คนถือไปให้เล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋ว เป็นใจความว่า บัดนี้อ้วนสุดมิได้อ่อนน้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้  พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีหนังสือรับสั่งลงมา ให้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองอ้วนสุด เล่าปี่จึงว่าแก่ผู้ถือหนังสือว่า ท่านขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้เถิด ซึ่งมีรับสั่งมานั้นจะทำตามทุกประการ แล้วผู้ถือหนังสือก็กลับไป

บิต๊กจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งมีรับสั่งมาทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าความคิดโจโฉทำกลอุบายมา เล่าปี่จึงตอบว่า ถึงมาตรว่าโจโฉจะคิดกลอุบายประการใดก็ดี เป็นหนังสือรับสั่งมาแล้วเราจะทำตาม แล้วเล่าปี่ก็จัดแจงทหารทั้งปวงได้ประมาณสามหมื่นเตรียมไว้ ถึงวันดีเมื่อใดจะให้ยกไป

ซุนเขียนจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปนั้น ขอให้จัดแจงทหารซึ่งมีสติปัญญาไว้อยู่รักษาเมือง เล่าปี่เห็นชอบด้วย กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงตอบว่าเจ้าเป็นที่ปรึกษาของเรา ซึ่งจะอยู่รักษาเมืองนั้นไม่ได้ เตียวหุยจึงว่า ท่านจะเอากวนอูไปเป็นที่ปรึกษาแล้วข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงว่าตัวเจ้ามักเสพย์สุรา แล้วโบยตีทหาร ประการหนึ่งก็เป็นคนใจร้ายมิได้ฟังผู้ใดห้ามปรามจะไว้ใจให้อยู่รักษาเมืองนั้นมิได้ เตียวหุยจึงว่า แต่วันนี้ข้าพเจ้าจะไม่เสพย์สุราเลย ถ้าจะทำการสิ่งใดก็จะปรึกษาหารือผู้มีสติปัญญาก่อนจึงจะทำ แม้นมีผู้ใดห้ามปรามจะฟังคำ

บิต๊กจึงว่าเกรงอยู่แต่จะไม่เหมือนถ้อยคำท่าน เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า แต่เราตั้งใจทำการด้วยเล่าปี่มาก็หลายปีแล้ว ผู้ใดยังมิจับเท็จเราได้แลท่านจะมาล่วงว่าเรานั้นไม่ควร เล่าปี่จึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าโกรธบิต๊กเลย ซึ่งเจ้าจะอยู่รักษาเมืองนั้นเราก็ยังมิไว้ใจ แต่ได้ให้สัญญาแล้วจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เอาตันเต๋งไว้เป็นที่ปรึกษาด้วย จะได้ตักเตือนห้ามปรามอย่าให้เสพย์สุรานัก ราชการบ้านเมืองจึงจะไม่เกิดเหตุการณ์ เตียวหุยกับตันเต๋งก็รับคำเล่าปี่ ครั้นวันดีเล่าก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองลำหยง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้เหตุว่าเล่าปี่ให้มีหนังสือขึ้นไปขอทหารพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะยกมาตีเมืองลำหยง อ้วนสุดก็โกรธจึงว่าเล่าปี่นั้นชาติอ้ายทอเสื่อขาย บัดนี้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว คิดการกำเริบจะล่วงมาตีเอาเมืองเรา เราจะนิ่งให้มันมาเหยียบถึงแดนเราไย จึงให้กิเหลงทหารเอกเป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่น ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว

กิเหลงยกทหารมาถึงแดนเมืองอุไถ เห็นทัพเล่าปี่ยกมา กิเหลงก็ให้ตั้งค่ายอยู่พอแลเห็นกัน ฝ่ายเล่าปี่พอเห็นกิเหลงชาวเมืองซัวตั๋งยกมา จึงคิดว่าทหารเราน้อย ให้ตั้งค่ายลงเป็นหน้ากระดานต่อเนินเขา ตลอดลงไปเอาแม่น้ำ กิเหลงเห็นดังนั้นจึงขึ้นม้าถือง้าวหนักห้าสิบชั่ง คุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายเล่าปี่ แล้วร้องด่าเล่าปี่ว่าอ้ายชาวป่ามึงมีฝีมือสักเพียงใด จึงบังอาจยกมาทำสงครามถึงเมืองอุไถซึ่งขึ้นแก่เมืองลำหยง เล่าปี่จึงว่าอ้วนสุดเป็นขบถแข็งเมืองไว้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้กูให้ยกกองทัพมาปราบปรามอ้วนสุดให้อ่อนน้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลตัวมิได้คำนับเราผู้ถือรับสั่ง แล้วซ้ำเจรจาหยาบช้า โทษตัวก็ถึงตาย

กิเหลงได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้าไปจะรบด้วยเล่าปี่ กวนอูเห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวออกรบกับกิเหลงได้สามสิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน กิเหลงสิ้นกำลังจึงร้องว่ากับกวนอูว่า เราจะหยุดพักเสียก่อน แล้วจึงรบกันต่อไป กวนอูก็ชักม้ากลับเข้ามาหยุดพักอยู่ กิเหลงกลับเข้ามาถึงค่าย จึงให้ซุนเจ้งทหารรองออกไปรบ กวนอูเห็นก็ขับม้าออกไปแล้วร้องว่า ตัวมิได้สมควรที่จะรบกับเรา จงเร่งกลับไปบอกกิเหลงออกมารบกับเราจึงจะสมฝีมือกัน

ซุนเจ้งจึงตอบว่า ตัวนี้บังอาจว่าหยาบช้า แต่เช่นตัวเป็นทหารนี้ยังหามีผู้ใดลือชื่อไม่ เป็นไฉนจึงยกตัวว่าจะสู้กับนายกู กวนอูได้ยินจึงขับม้าเข้ารบด้วยซุนเจ้งได้เพลงหนึ่ง กวนอูก็เอาง้าวฟันถูกซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่จึงคุมทหารเข้ารบหักเอาค่ายกิเหลงได้ กิเหลงพาทหารถอยไปตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมืองซัวหยิน แล้วแต่งทหารยกมาปล้นค่ายเล่าปี่เป็นหลายครั้งก็มิได้ค่าย ทหารเล่าปี่ฆ่าฟันทหารกิเหลงล้มตายทุกครั้ง กิเหลงกับเล่าปี่ก็ตั้งรอคอยทีกันอยู่

ฝ่ายเตียวหุยซึ่งอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว จึงให้ตันเต๋งว่าราชการฝ่ายพลเรือน เตียวหุยนั้นว่าราชการข้างเหล่าทหาร ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเตียวหุยให้แต่งโต๊ะ แล้วเชิญขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนทั้งปวงมาพร้อมกัน เตียวหุยจึงว่าเมื่อเล่าปี่จะยกกองทัพไปนั้นได้กำชับเราว่าอย่าให้เสพย์สุรานัก วันนี้เราสบายใจจึงให้แต่งโต๊ะเชิญท่านทั้งปวงมากินโต๊ะ เสพย์สุราเล่นแต่วันเดียวนี้ให้สนุก สืบไปท่านทั้งปวงแลเราอย่าได้กินเลยเป็นอันขาด จะตั้งหน้าว่าราชการรักษาเมืองไว้ให้เป็นปรกติกว่าเล่าปี่จะยกกลับมา แล้วเตียวหุยก็รินสุราคำนับให้ขุนนางทั้งปวงกิน

แต่โจป้ามิได้รับจอกสุรา จึงว่าแก่เตียวหุยว่า ข้าพเจ้าได้สาบานไว้ต่อเทพดาว่ามิได้กินเลย เตียวจึงว่าตัวเป็นทหาร เหตุใดจึงว่าไม่เสพย์สุรา เราจะให้กินสักจอกหนึ่ง ถ้ามิกินเราไม่ฟัง โจป้าคิดกลัวเตียวหุยจึงคำนับรับจอกสุรามากินเข้าไป เตียวหุยจึงรินสุรากินเข้าไปประมาณยี่สิบจอกใหญ่ เตียวหุยเมาแล้วจึงรินสุราให้ขุนนางทั้งปวงกินอีก แต่โจป้านั้นว่าข้าพเจ้ากินไม่ได้ เตียวหุยจึงหัวเราะแล้วว่าเมื่อกี้นั้นตัวว่ากินไม่ได้ แล้วก็กินเข้าไปได้จอกหนึ่ง ครั้นให้กินอีก ว่ากินไม่ได้ ก็เห็นว่าตัวแกล้งบิดพลิ้วลวงเรา เราไม่ฟัง จะให้ตัวกินอีกจงได้ โจป้าก็มิได้กิน เตียวหุยโกรธจึงว่า ตัวเป็นผู้น้อยกว่าเราบังอาจขัดไม่เสพย์สุราด้วยเรานั้น ก็เห็นว่าตัวมิได้เกรงเรา แล้วก็สั่งให้คนใช้เอาตัวโจป้าไปตีร้อยหนึ่ง

ตันเต๋งเห็นเตียวหุยจะทำวุ่นวาย จึงว่าเมื่อเล่าปี่จะยกกองทัพไปนั้นได้สั่งไว้แก่ท่านประการใดบ้าง เตียวหุยจึงตอบว่าเราได้แบ่งให้ท่านว่าราชการข้างพลเรือนตัวเราบังคับบัญชาฝ่ายทหาร แลโจป้านี้เป็นทหาร ท่านอย่าได้มาล่วงว่าเลยฝ่ายคนใช้จะคร่าเอาตัวโจป้าไปตี โจป้าจึงอ้อนวอนเตียวหุยว่า ข้าพเจ้าขอโทษเสียครั้งหนึ่งเถิด ถึงแม้ไม่เห็นแก่ข้าพเจ้าจงเห็นแก่หน้าบุตรเขยข้าพเจ้าบ้าง เตียวหุยจึงถามว่าผู้ใดเป็นบุตรเขยของตัว โจป้าจึงบอกว่าลิโป้ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ จึงว่าเราทำทั้งนี้หวังจะหยอกเล่น ตัวเอาชื่ออ้ายลิโป้มาข่มจะให้เราเกรง เราหาเกรงมันไม่ เราจะให้ตีในบัดนี้จริงๆ ให้กระทบถึงอ้ายลิโป้ผู้เป็นลูกเขย ซึ่งตัวนับถือว่าดี ก็สั่งให้คนใช้เร่งเอาตัวโจป้าลงไปตีได้ประมาณห้าสิบทีขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันเข้าขอ เตียวหุยก็ให้งดไว้ โจป้าก็กลับมาบ้าน คิดแค้นเตียวหุยเป็นอันมาก จึงแต่งหนังสือให้คนใช้ถือไปให้ลิโป้ ณ เมืองเสียวพ่ายเป็นใจความว่า บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองลำหยง เตียวหุยเสพย์สุราเมาให้ตีเรา แล้วว่ากล่าวหยาบช้ากระทบมาถึงลิโป้ด้วย ขอให้คุมทหารยกมาตีเมืองชีจิ๋วในเวลากลางคืนวันนี้เห็นจะได้โดยง่าย ด้วยเตียวหุยกำลังเมาสุราอยู่

ลิโป้แจ้งในหนังสือจึงปรึกษากับตันก๋ง ตันก๋งจึงว่าซึ่งเตียวหุยทำการว่ากล่าวทั้งนี้ เห็นหยาบช้านัก อันท่านจะอยู่แต่เมืองเสียวพ่ายนี้เห็นไม่สมควรเป็นที่มั่นบัดนี้ได้ทีแล้ว จำจะยกไปตีเอาเมืองชีจิ๋ว จะได้อยู่เป็นสุข จะได้คิดการใหญ่สืบไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงสั่งตันก๋งกับโกซุ่นว่าเราจะยกรีบไปก่อน ท่านจงกะเกณฑ์ทหารให้สิ้นเชิงยกตามเราไป แล้วลิโป้ก็ใส่เกราะขึ้นม้าคุมทหารประมาณห้าร้อย ยกไปถึงเชิงกำแพงเมืองชีจิ๋วเวลาประมาณสามยามเศษ แล้วร้องบอกแก่ทหารบนเชิงเทินว่าให้เร่งเปิดประตูออก เล่าปี่ให้เรามาแจ้งข้อราชการแก่เตียวหุย พอทหารโจป้ารักษาหน้าที่อยู่ ได้ยินลิโป้ร้องเข้ามาก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจป้า โจป้าก็รีบมาดูบนเชิงเทินเห็นลิโป้ก็ให้ทหารเปิดประตูเมืองออกรับ ลิโป้คุมทหารโห่ร้องเข้าไป

ฝ่ายทหารพรรคพวกเตียวหุยเห็นลิโป้คุมทหารเข้ามาได้ในเมืองก็ตกใจ จึงเข้าไปปลุกเตียวหุย เตียวหุยตื่นขึ้นยังเมาสุรามึนอยู่ ทหารทั้งบอกว่าลิโป้คุมทหารเข้ามาได้ในเมือง เตียวหุยตกใจจึงขึ้นม้าถือทวนออกมาถึงประตูบ้าน เห็นทหารลิโป้ล้อมอยู่จึงคิดว่า ตัวกูยังเมาสุรากำลังน้อยอยู่จะสู้กับลิโป้มิได้ จึงทิ้งครอบครัวเล่าปี่เสีย พาเอาทหารซึ่งสนิทนั้นขี่ม้าทั้งสิบแปดคนหนีออกจากประตูเมืองไป

ฝ่ายลิโป้ก็คิดว่าเตียวหุยมีฝีมือมิได้ไปติดตาม แต่โจป้านั้นคิดแค้นเตียวหุยอยู่เป็นอันมาก จึงคุมทหารประมาณร้อยหนึ่งตามเตียวหุยไป เตียวหุยเหลียวหลังมาเห็นโจป้า จึงชักม้ากลับมารบด้วยโจป้าได้สามเพลง โจป้านั้นกำลังน้อยก็ขับม้าหนี เตียวหุยขับม้าตามไปถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงเอาทวนแทงถูกโจป้าตกม้าตาย

ฝ่ายทหารเตียวหุยซึ่งอยู่ในเมืองก็ลอบหนีออกมาได้บ้าง ครั้นเวลาเช้ามาพบเตียวหุย เตียวหุยจึงพากันตามเล่าปี่ไป ณ เมืองลำหยง ฝ่ายลิโป้ครั้นได้เมืองชีจิ๋วจึงเกณฑ์ทหารร้อยหนึ่งไปอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่มิให้ผู้ใดทำอันตรายได้

ฝ่ายเตียวหุยครั้นมาถึงเมืองอุไถ จึงเล่าเนื้อความให้เล่าปี่แจ้งทุกประการ บรรดาทหารในกองทัพเล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจ ทุกข์ถึงครอบครัวของตัว เล่าปี่เห็นทหารทั้งปวงทุกข์ร้อนก็เอาน้ำใจว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นชาติทหารแล้ว ถึงจะเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี

กวนอูจึงถามเตียวหุยว่า ตัวเจ้ามาครั้งนี้ได้ครอบครัวของพี่เรามาด้วยหรือ เตียวหุยจึงบอกว่าพี่สะใภ้เราทั้งสองนั้นยังตกลงอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงกระทืบเท้าลงแล้วว่าเมื่อเล่าปี่จะยกมานั้นตัวรับจะอยู่รักษาเมือง ครั้นเล่าปี่มิให้อยู่ตัวก็สัญญาประการใดยังคิดได้หรือไม่ แลเมื่อเสียเมืองชีจิ๋วแล้วมิหนำซ้ำเสียทั้งครอบครัวของพี่เราฉะนี้ตัวจะคิดประการใด เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็นิ่งไปมิได้ตอบคำ คิดอัปยศแก่ทหารทั้งปวง จึงชักเอากระบี่ออกจะเชือดคอตาย เล่าปี่เห็นก็ตกใจวิ่งเข้ากอดเอาเตียวหุยไว้แล้วชิงเอากระบี่เสียจากมือแล้วจึงว่าคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบานไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็จะตายด้วยกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วแลภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่าๆ ไม่ควรเลย แล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ กวนอู เตียวหุยเห็นเล่าปี่ร้องไห้ก็ร้องไห้ด้วย

ฝ่ายอ้วนสุดรู้ว่าลิโป้ได้เมืองชีจิ๋วแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปถึงลิโป้ว่าให้ลิโป้ช่วยรบเล่าปี่ให้แตกจงได้ เราจะให้ม้าห้าร้อย ข้าวห้าหมื่นถัง ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับ ลิโป้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็ดีใจ จึงให้โกซุ่นคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีกระหนาบหลังเล่าปี่ เล่าปี่จึงปรึกษากวนอู เตียวหุยว่า เรากำลังน้อยเห็นจะสู้เขามิได้ เวลากลางคืนฝนตกหนัก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็ยกทหารออกจากค่ายจะไปเมืองกองเหลง

ฝ่ายโกซุ่นมาถึงรู้ว่าเล่าปี่ยกหนีไปแล้ว จึงไปหากิเหลง ณ ค่าย โกซุ่นจึงว่าแก่กิเหลงว่า บัดนี้เล่าปี่ก็หนีไปแล้ว ของซึ่งนายท่านจะให้แก่นายเรานั้นเป็นประการใด กิเหลงจึงตอบว่า เนื้อความทั้งนี้เรายังมิได้แจ้ง เรากลับไปเมืองแล้วจะถามอ้วนสุดดูก่อน แล้วกิเหลงก็ยกกลับไปบอกแก่อ้วนสุด โกซุ่นก็กลับไปเมืองชีจิ๋วบอกแก่ลิโป้ว่าเล่าปี่นั้นยกหนีไปแล้ว ข้าพเจ้าพบกิเหลงได้ว่าด้วยสิ่งของกิเหลงว่าจะไปบอกอ้วนสุดผู้นายก่อน

ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คิดสงสัย พอมีหนังสืออ้วนสุดมาถึงลิโป้ว่าท่านให้โกซุ่นยกไปก็จริงแต่มิได้รบพุ่ง แล้วก็ยังมิได้ตัวเล่าปี่ ถ้าได้ตัวเล่าปี่เมื่อใดเราจะให้สิ่งของตามสัญญา ลิโป้เห็นหนังสือนั้นก็โกรธ จึงว่าอ้วนสุดเจรจาหาความจริงไม่ แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกไปรบอ้วนสุด

ตันก๋งจึงว่าบัดนี้อ้วนสุดมาตั้งอยู่เมืองฉิวฉุนเป็นที่สำคัญ ทหารมีฝีมือก็มากข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ซึ่งท่านจะยกไปบัดนี้เห็นจะเสียทีแก่อ้วนสุด ขอให้ท่านคิดอ่านเกลี้ยกล่อมเอาเล่าปี่ไว้เมืองเสียวพ่ายก่อน เมื่อเราจะยกไปนั้นจะได้อาศัยเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นกำลังเห็นการจะสำเร็จโดยสะดวก ลิโป้เห็นชอบด้วยจึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญเล่าปี่

ฝ่ายเล่าปี่ยกหนีไปถึงเมืองกองเหลง พออ้วนสุดยกมาตีเมืองกองเหลงแตกเล่าปี่หนีออกจากเมืองมาพบทหารลิโป้ เล่าปี่เห็นหนังสือจึงปรึกษากับกวนอูว่าลิโป้ให้หนังสือมาหาเราไปเจ้าจะเห็นประการใด กวนอูจึงว่าลิโป้เป็นคนพูดเพราะแต่เจรจาหาสัตย์มิได้ ซึ่งท่านจะคบสืบไปนั้นเห็นไม่สมควร เล่าปี่จึงว่าบัดนี้ลิโป้ให้มาหาเราโดยดี จำเราจะไปจึงจะควร

ฝ่ายลิโป้ให้ทหารถือหนังสือไปแล้วกลัวเล่าปี่จะไม่มา จึงให้คุมเอาตัวนางกำฮูหยินกับนางบิฮูหยินซึ่งเป็นภรรยาเล่าปี่นั้นตามไปให้ จะให้เล่าปี่สิ้นสงสัย พอเล่าปี่ยกมาพบกันกลางทาง เล่าปี่เห็นภรรยาก็ดีใจจึงถามว่าลิโป้ได้เมืองแล้วพิทักษ์รักษาเจ้าทั้งสองประการใดบ้าง นางกำฮูหยิน นางบิฮูหยินบอกว่า ลิโป้ให้ทหารพิทักษ์รักษามิให้ผู้ใดเข้าออกแปลกปลอมได้ แล้วจัดแจงหญิงให้ใช้สอยส่งข้าวปลาอาหารอยู่มิได้ขาด  เล่าปี่ว่ากวนอู เตียวหุยว่า ข้าได้ว่าแต่เดิมทีว่าอันลิโป้นั้นมีกตัญญูต่อเราอยู่ เห็นจะไม่ทำร้ายแก่ครอบครัวเรา จำเราจะเข้าไปหาลิโป้จึงจะควร กวนอูเห็นชอบด้วย แต่เตียวหุยมีพยาบาทอยู่ไม่ขอเห็นหน้าลิโป้ จึงว่าพี่ทั้งสองจะไปก็ตามเถิด แต่ตัวข้านี้จะพาพี่สะใภ้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายก่อน แล้วเตียวหุยก็ลาเล่าปี่ไป เล่าปี่ กวนอูจึงพากันไปหาลิโป้

ลิโป้จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำการทั้งนี้ใช่เราจะเห็นแก่สมบัติของท่านนั้นหามิได้ เพราะเตียวหุยน้องท่านเสพย์สุราเมา เรากลัวจะทำการหยาบช้าจะเกิดวุ่นวายกันขึ้น เราจึงมาทำการทั้งนี้หวังจะรักษาเมืองไว้ให้ท่าน เล่าปี่จึงว่าเมืองอันนี้แต่แรกเราก็ว่าจะให้ท่านอยู่อีกท่านมิยอม บัดนี้ท่านมาตีได้เป็นเมืองของท่านก็ดีแล้วเชิญท่านอยู่ให้สุขเถิด ตัวเรากับสมัครพรรคพวกจะขอไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ลิโป้ก็ว่ากล่าวให้เล่าปี่อยู่รักษาเมืองดังเก่า เล่าปี่มิยอมอยู่ก็ลาลิโป้ไปเมืองเสียวพ่ายแต่กวนอู เตียวหุยนั้นคิดพยาบาทลิโป้อยู่มิได้ขาด เล่าปี่แจ้งในกิริยากวนอู เตียวหุยจึงว่าเจ้าอย่าเพ่อคิดอ่านวุ่นวายก่อน จงค่อยทรมานไปจนกว่าจะได้ทีของเรา จึงจะได้คิดการต่อไป ฝ่ายลิโป้ก็ส่งข้าวของไปให้เล่าปี่เนืองๆ เล่าปี่กับลิโป้นั้นก็ปรกติกันอยู่ มิได้กินแหนงกัน


Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น