วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"สามก๊ก" ตอนที่ 16

เรียบเรียงโดย Thepoetry4u.

ขอบคุณเนื้อหาจาก "หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)"

                ฝ่ายโจโฉจำเดิมแต่เสียเตียนอุยแล้วมิได้มีความสบาย คิดถึงเตียนอุยแต่งเครื่องเซ่นไปมิได้ขาด แล้วเอาตัวเตียนมวนบุตรเตียนอุยมาตั้งเป็นตองหลองคำไทยว่าเป็นคนสนิท พอหนังสือซุนเซ็กไปถึงโจโฉ โจโฉเห็นหนังสือแล้วยังมิได้ว่าประการใด มีทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า เมืองลำหยงนั้นข้าวปลาอาหารก็ขัดสน บัดนี้อ้วนสุดแต่งทหารไปตีชิงอยู่ ณ เมืองตันลิว

                โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ในเมืองลำหยงนั้นทหารจะเบาบาง เราจะยกกองทัพไปตีเอาเห็นจะได้โดยง่าย จึงให้แต่งหนังสือไปถึงเล่าปี่ ซุนเซ็ก ลิโป้ให้ยกกองทัพไปเมืองลำหยง โจโฉจึงให้โจหยินอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วจัดแจงทหารสิบเจ็ดหมื่นกับข้าวเสบียงพันเกวียน ยกไปถึงแดนเมืองอิเจี๋ยง ใกล้เมืองอิจิ๋วซึ่งเล่าปี่อยู่
                ฝ่ายหันเซียมซึ่งลิโป้ให้ไปอยู่เมืองกินโต๋กับเอียวฮองซึ่งอยู่เมืองลองเอี๋ยทำหยาบช้าเที่ยวเป็นโจรตีชิงอาณาประชาราษฎร มีคนเอาเนื้อความมาบอกเล่า เล่าปี่จึงคิดกับกวนอู เตียวหุยว่า ให้ไปเชิญหันเซียม เอียวฮองมากินโต๊ะ ถ้าท่านเห็นเราทิ้งจอกสุราลงแล้ว ท่านทั้งสองจงเอากระบี่ตัดศีรษะหันเซียม เอียวฮองเสีย แล้วเล่าปี่จึงให้ทหารไปเชิญหันเซียม เอียวฮองมากินโต๊ะ ครั้นกินจะใกล้สำเร็จ เล่าปี่กระทำเป็นเมาทิ้งจอกสุราลง กวนอู เตียวหุยถือกระบี่แอบอยู่หลังฉาก ก็วิ่งมาตัดศีรษะอียวฮอง หันเซียมเสีย พอทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่เล่าปี่ว่า โจโฉจะยกไปเมืองลำหยง บัดนี้มาอยู่แดนเมืองอิเจี๋ยง เล่าปี่รู้ดังนั้นจึงจัดแจงทหารยกออกไปหาโจโฉ เอาศีรษะหันเซียม เอียวฮองนั้นไปด้วย โจโฉแลเห็นเล่าปี่ก็ออกมารับ คำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย เล่าปี่จึงเอาศีรษะหันเซียม เอียวฮองนั้นให้โจโฉ แล้วจึงว่าข้าพเจ้าทำการครั้งนี้ผิดนัก ข้าพเจ้าขออภัยมหาอุปราชเสียเถิด
                โจโฉจึงว่าซึ่งท่านทำการทั้งนี้ชอบอยู่อีก ราษฎรที่ได้ความเดือดร้อน ก็จะได้ความสุขเพราะท่าน เหตุไฉนท่านจึงว่ากระทำความผิด แล้วโจโฉก็ให้บำเหน็จแก่เล่าปี่เป็นอันมาก โจโฉก็พาเล่าปี่ยกไปจากแดนเมืองอิเจี๋ยง ไปใกล้ถึงเมืองชีจิ๋ว
                ลิโป้รู้ว่าโจโฉยกทหารมาก็ออกไปหาโจโฉ โจโฉจึงว่าแก่ลิโป้ว่า แม้สำเร็จการเราครั้งนี้แล้ว เราจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งท่านเป็นใหญ่ แล้วโจโฉพูดจาเกลี้ยกล่อมลิโป้เป็นอันมาก ลิโป้มีความยินดีนักลุกขึ้นคำนับโจโฉ แล้วโจโฉตั้งให้แฮหัวตุ้น อิกิ๋ม เป็นทัพหน้า ให้เล่าปี่เป็นปีกขวา ลิโป้เป็นปีกซ้าย ตัวโจโฉเป็นทัพหลวงยกไปตีเมืองลำหยง
                ฝ่ายอ้วนสุดรู้ว่าโจโฉยกทัพมา จึงให้เกียวเสงคุมทหารห้าหมื่นยกออกไปตั้งคอยรับอยู่ปากทางตำบลฉิวฉุน เกียวเสงก็ยกทหารออกจากเมือง พอกองทัพแฮหัวตุ้นมาถึง เกียวเสงก็ควบม้าเข้ารบกับแฮหัวตุ้นสู้กันได้สามเพลง แฮหัวตุ้นเอาทวนแทงถูกเกียวเสงตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็หนีกลับเข้าเมือง
                ฝ่ายซุนเซ็กซึ่งอยู่เมืองกังตั๋งรู้ว่าโจโฉยกไปตีเมืองลำหยงแล้ว ก็จัดแจงทหารทัพเรือเป็นอันมาก ยกไปเมืองลำหยงตั้งอยู่ทิศตะวันตก โจโฉรู้ว่าซุนเซ็กยกมาแล้ว จึงให้ลิโป้ไปตั้งอยู่ด้านตะวันออก ให้เล่าปี่กับกวนอู เตียวหุยยกไปตั้งด้านใต้ ตัวโจโฉกับทหารสิบเจ็ดหมื่นตั้งอยู่ด้านเหนือ แล้วให้สัญญากันว่าให้ยกเข้าล้อมเมืองจงพร้อมกัน
                ฝ่ายอ้วนสุดเห็นโจโฉยกมาตั้งอยู่เป็นสี่ด้าน จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เห็นการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เอียวไต้เจียงจึงว่า เมืองเราครั้งนี้ราษฎรก็ขัดสนด้วยข้าวปลาอาหาร ซึ่งท่านจะคิดอ่านออกรบกับโจโฉนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความลำบาก ขอให้ท่านแต่งทหารอยู่รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง ตัวท่านจึงพาครอบครัวถอยไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำ จะได้อาศัยเสบียงอาหาร
                อ้วนสุดเห็นชอบด้วย จึงให้โลหองหนึ่ง งักจิวหนึ่ง เลียงก๋องหนึ่ง ตันกี๋หนึ่ง กับทหารสิบหมื่นอยู่รักษาเมืองลำหยง แล้วอ้วนสุดจึงพาทหารกับครอบครัวทั้งปวงถอยไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำตามเอียวไต้เจียงว่า โจโฉมิรู้ว่าอ้วนสุดหนีจากเมือง ก็ให้ทหารเข้าล้อมเมืองไว้
                ฝ่ายโลหอง งักจิว เลียงก๋อง ตันกี๋ ซึ่งอยู่รักษาเมืองนั้น มิได้ออกสู้รบกับโจโฉ โจโฉล้อมเมืองไว้ช้านานประมาณเดือนเศษจนสิ้นเสบียง จึงใช้คนให้ไปยืมอาหารซุนเซ็กทัพเรือ ได้เสบียงสิบหมื่นถัง โจโฉจึงเอาข้าวมอบให้แก่อองเฮาซึ่งเป็นนายฉาง
                อองเฮาจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าวในฉางเรานี้ก็น้อยลงแล้ว นานไปเห็นทหารทั้งปวงจะขัดสน โจโฉจึงว่าถ้าดังนั้นท่านจงคิดแจกข้าวแก่ทหารให้ถังย่อมลงกว่าเก่า แต่พอประทังไว้กว่าการเราจะสำเร็จ อองเฮาจึงว่า ซึ่งท่านจะทำดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า ทหารทั้งปวงจะมีความน้อยใจด้วยกำลังนั้นอิดโรยลง ก็จะไม่เป็นใจทำการรณรงค์สงคราม โจโฉจึงตอบว่า เราจะคิดอ่านมิให้ทหารทั้งปวงเสียน้ำใจได้ อองเฮาก็ทำถังเล็กตวงข้าวแจกทหารตามคำโจโฉว่า ทหารทั้งปวงได้อาหารไปกินไม่เต็มกำลังก็เสียใจ จึงชวนกันนินทาโจโฉว่าส่วนการนั้นจะเอา จ่ายข้าวให้กินแต่น้อย เมื่อเรากินไม่อิ่มดังนี้ จะทำการรบพุ่งต่อไปได้หรือ
                ครั้นเวลากลางคืน โจโฉจึงใช้ให้คนสนิทไปเที่ยวฟังดูรู้เนื้อความว่า ทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ ชวนกันครหานินทาโจโฉ โจโฉจึงคิดจะเอาใจทหารทั้งปวงให้มีน้ำใจยกเข้าปล้นเมือง จึงลอบหาตัวอองเฮามาว่า ข้าพเจ้ามิได้มีสิ่งใดที่จะให้มหาอุปราช โจโฉจึงกระซิบบอกว่าเราจะขอยืมศีรษะท่าน อองเฮาตกใจ จึงว่าข้าพเจ้ามิได้มีผิดสิ่งใดเหตุไฉนมหาอุปราชจึงจะตัดศีรษะข้าพเจ้าเสีย โจโฉจึงว่าตัวท่านก็มิได้มีความผิด แต่เราจะขอศีรษะท่านกระทำการให้ทหารทั้งปวงมีน้ำใจ ซึ่งบุตรภรรยาพรรคพวกของท่านอยู่ภายหลังนั้น เราจะเลี้ยงดูมิให้ขัดสน อองเฮายังมิทันจะว่าประการใด โจโฉก็ให้ทหารเอาตัวอองเฮาไปตัดศีรษะเสียบไว้ แล้วให้ร้องประกาศว่า อองเฮากระทำผิดฉ้อข้าวมหาอุปราช แล้วจ่ายข้าวให้ทหารด้วยถังเล็ก
                ฝ่ายทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็สิ้นสงสัย โจโฉจึงป่าวร้องให้ทหารทั้งปวงมาเบิกข้าว ให้สำเร็จในสามวัน แล้วโจโฉจึงกำชับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกเข้าไปปล้นเมือง แม้นใครมิเป็นใจกระทำการ แตกถอยออกมาเราจะตัดศีรษะเสียโจโฉจึงขับทหารทั้งปวงให้ขนดินเข้าถมคูเมือง
                ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทิน ก็ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ทหารโจโฉสองคนซึ่งเข้าไปถมคูนั้น กลัวจะถูกเกาทัณฑ์ก็ถอยหลังออกมา โจโฉเอากระบี่ตัดศีรษะทหารสองคนนั้นทิ้งลงในคู ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มิอาจถอยออกมา โจโฉจึงเร่งทหารให้ถมคูปีนกำแพงทลายประตูเมืองเข้าไป ทหารโจโฉก็ฆ่าฟันทหารซึ่งอยู่ในเมืองนั้นล้มตายเป็นอันมาก แล้วจับตัวโลหอง ตันกี๋ งักจิว เลียงก๋อง สี่คนนั้นได้ โจโฉจึงถาม รู้ว่าอ้วนสุดไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำ แล้วให้เอาตัวทหารสี่คนไปตะเวนประจานกลางตลาดแล้วเอาไปฆ่าเสีย ข้าวของทั้งปวงซึ่งได้ในเมืองนั้น โจโฉก็ให้แจกทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วให้เผาเมืองเสีย โจโฉจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะยกทัพไปตามอ้วนสุด ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
                ซุนฮกจึงว่า บัดนี้เสบียงอาหารเราก็ขัดสน ซึ่งท่านจะยกไปตามอ้วนสุดนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความลำบาก ขอให้ท่านยกกลับไปเมืองฮูโต๋บำรุงทหารให้บริบูรณ์ก่อน ต่อฤดูข้าวในนาสุกจึงค่อยกลับมากระทำการ เห็นจะสำเร็จโดยง่าย โจโฉได้ยินดังนั้นยังมิทันจะว่าประการใด พอโจหองให้หนังสือมาถึงโจโฉว่า เตียวสิ้วหลานเตียวเจคบคิดกับเล่าเปียวซึ่งอยู่เมืองเกงจิ๋ว ยกมาตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลง ได้รบพุ่งกับโจหองเป็นหลายครั้ง โจหองทานฝีมือเตียวสิ้วมิได้ ขอให้มหาอุปราชยกทหารไปช่วย โจโฉแจ้งเนื้อความในหนังสือนั้นแล้ว จึงว่าแก่ซุนเซ็กว่า ท่านจงยกทัพเรือไปรั้งหลังสกัดต้นทางเมืองเกงจิ๋วไว้ให้เล่าเปียวพะว้าพะวัง อย่าให้คิดการสืบไปได้ เราจัดแจงสำเร็จแล้วจึงจะยกไปตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลงตีด้านหน้า ซุนเซ็กรับคำโจโฉแล้วก็เลิกทัพกลับไปตามโจโฉสั่ง
                ครั้นซุนเซ็กไปแล้ว โจโฉจึงให้หาลิโป้ เล่าปี่มาว่า ท่านทั้งสองอย่าได้พยาบาทกันเลย จงช่วยกันคิดอ่านบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะขอให้เล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ลิโป้รับคำโจโฉแล้วก็ลายกกลับไปเมืองชีจิ๋ว โจโฉจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านรู้กลเราหรือไม่ เราให้ท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายบัดนี้ เราจะลวงให้เสือตกหลุม ท่านไปอยู่แล้วจงคิดอ่านกันกับตันกุ๋ย ตันเต๋ง เร่งกระทำการให้สำเร็จจงได้ เล่าปี่ก็ลาโจโฉไปตั้งอยู่เมืองเสียวพ่าย
                โจโฉก็ยกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋ จึงจัดแจงทหารยกไปรบเตียวสิ้ว พอทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า ตวนอุย งอสิบ ฆ่าลิฉุย กุยกีเสียแล้ว บัดนี้เอาศีรษะลิฉุย กุยกีกับสมัครพรรคพวกมาให้ท่าน โจโฉมีความยินดี ออกมารับตวนอุย งอสิบ แล้วให้ทหารเอาสมัครพรรคพวกของลิฉุย กุยกีไปตัดศีรษะเสียบไว้ทุกประตูเมือง แล้วเอาเนื้อความทั้งปวงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ดีพระทัยตรัสว่า แผ่นดินเราครั้งนี้จะอยู่เย็นเป็นสุข มิได้มีเสี้ยนหนามแล้ว จึงมีรับสั่งให้หาตวนอุย งอสิบเข้าไปในที่เสด็จออก แล้วพระราชทานโต๊ะให้ตวนอุย งอสิบกินกับขุนนางทั้งปวงแล้วตั้งตวนอุยเป็นทองเค้าเจียงกุ๋นให้งอสิบเป็นเตียนโลเจียงกุ๋น คำไทยว่าเป็นนายทหารกำจัดโจร แล้วมีรับสั่งให้ตวนอุย งอสิบคุมสมัครพรรคพวกไปรักษาเมืองเตียงฮัน ตวนอุย งอสิบนั้นก็ถวายบังคมลาไปตั้งอยู่ตามรับสั่ง
                โจโฉจึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เตียวสิ้วคบคิดกับเล่าเปียวยกมาตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลง ข้าพเจ้าจะถวายบังคมลาไปกำจัดเตียวสิ้ว ให้ซุนฮกอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วก็จัดแจงยกทหารออกจากเมือง พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปส่งโจโฉถึงประตูเมือง ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาอยู่เมืองฮูโต๋ได้สามปี เมื่อโจโฉยกไปนั้นเป็นฤดูข้าวโภชน์สาลีสุก ราษฎรชาวบ้านรายทางทั้งปวงรู้ว่า กองทัพโจโฉยกมาก็ชวนกันแตกตื่นทิ้งที่ไร่นาเสีย โจโฉเห็นดังนั้น จึงกำชับนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเบียดเบียนชาวบ้าน แลเหยียบข้าวโภชน์สาลีเสียแต่ต้นหนึ่งเราจะตัดศีรษะนายทัพนายกองเสีย แล้วจึงให้ไปป่างร้องให้ชาวบ้านทั้งปวงมาตั้งอยู่ตามปรกติตามภูมิลำเนา ราษฎรทั้งปวงเห็นข้าวของมิได้เป็นอันตราย แล้วก็รู้ว่าโจโฉกำชับทหารดังนั้น ก็มีความยินดีชวนกันสรรเสริญว่า มหาอุปราชมีใจปรานีราษฎร หาผู้เสมอมิได้
                ฝ่ายนายทัพนายกองทั้งปวง เมื่อยกทัพไปกลางทางนั้น ถ้าถึงไร่ข้าวก็ลงจากม้า มือหนึ่งจูงม้าแหวกต้นข้าวโภชน์สาลีไป ด้วยเกรงอาญาโจโฉ แต่ตัวโจโฉนั้นขี่ม้า ให้ทหารแหวกไปข้างหน้าม้า พอนกตัวหนึ่งอยู่ในไร่ได้ยินเสียงทหารอื้ออึงมา ก็ตกใจบินออกจากกอข้าวโภชน์สาลี ผ่านหน้าม้าโจโฉไป ม้านั้นตกใจตื่นเข้าไปในไร่ เหยียบต้นข้าวโภชน์สาลีหักเสียเป็นอันมาก โจโฉจึงคิดอุบายหวังจะให้คนทั้งปวงนับถือว่าเป็นสัตย์ธรรม จึงหานายทัพนายกองทั้งปวงมาว่าบัดนี้เราก็ทำผิด ให้ท่านทั้งปวงปรึกษาโทษเราด้วย
                จูเภาที่ปรึกษาจึงถามว่า มหาอุปราชกระทำผิดสิ่งใด โจโฉจึงเล่าเนื้อความให้จูเภาฟัง ว่าเดิมเรากำชับว่าจะเอาโทษท่านทั้งปวง มาบัดนี้เรากระทำเอง ครั้นจะนิ่งเสียคนทั้งปวงก็จะติเตียนว่าเรามิได้ตั้งอยู่ในสัตย์ แล้วก็ทำเป็นชักกระบี่ซึ่งเหน็บหลังออกจะเชือดคอเสีย
                กุยแกตกใจจึงเข้ายึดกระบี่ไว้แล้วห้ามว่า ซึ่งมหาอุปราชกระทำดังนี้ก็ควรอยู่แล้ว แต่ตัวข้าพเจ้านายทัพนายกองแลราษฎรทั้งปวง ได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะบุญมหาอุปราช มหาอุปราชจะฆ่าตัวตายเสียบัดนี้ราษฎรทั้งปวงมิได้มีที่พึ่ง ก็จะได้ความเดือดร้อน โจโฉก็ทำทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า ท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ท่านจะขอเป็นคำขาดนั้นมิได้ จำเราจะทำให้เป็นตัวอย่าง แล้วโจโฉจึงเอากระบี่ตัดผมที่ศีรษะส่งให้ทหารเอาไปร้องประกาศทุกหน้าบ้านว่า มหาอุปราชกระทำผิดแล้ว มิได้คิดแก่ชีวิตจะฆ่าตัวเสีย นายทัพนายกองทั้งปวงห้ามไว้ มหาอุปราชจึงตัดผมออกแทนศีรษะ ให้คนทั้งปวงดูเป็นอย่างธรรมเนียมไว้ ทหารแลราษฎรทั้งปวงก็ชวนกันสรรเสริญรักโจโฉมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งกลัวอาญาเป็นอันมาก โจโฉก็เร่งยกทหารไปจะรบเตียวสิ้ว
                ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉยกทัพมา จึงให้หนังสือไปถึงเล่าเปียวให้ยกมาตีวกหลัง ตัวเตียวสิ้วกับลุยฉี เตียวเสียน ยกทหารมาตั้งอยู่นอกค่ายคอยจะรบด้วยโจโฉ พอโจโฉยกมาถึง เตียวสิ้วเห็นโจโฉจึงร้องด่าว่า อ้ายช่างพูดดีแต่เจรจาลวงให้คนเชื่อ อันกูนี้รู้อยู่ว่ามึงโกหกหยาบช้าเหมือนหนึ่งสัตว์เดียรัชฉาน โจโฉได้ยินก็โกรธขับให้เคาทูควบม้าออกรบด้วยเตียวสิ้ว เตียวสิ้วจึงให้เตียวเสียนออกรบกับเคาทูได้สามเพลง เคาทูเอาทวนแทงถูกเตียวเสียนตกม้าตาย เตียวสิ้วเห็นว่าจะสู้โจโฉนั้นมิได้ ก็ควบม้าพาทหารหนีเข้าเมืองเซียงหยง แล้วให้ปิดประตูเมืองเสีย จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง โจโฉก็ยกทหารเข้าตั้งประชิดล้อมเมืองไว้แล้วเห็นคูเมืองนั้นกว้างน้ำลึก ซึ่งจะทำการเข้าไปนั้นไม่สะดวก จึงให้ทหารขนไม้แลหญ้ามามัดเข้าไว้เป็นอันมาก แล้วให้ปลูกหอคอยสี่ด้านกำแพงเมือง โจโฉจึงขึ้นดูทุกหอคอยถึงสามวัน เห็นทหารซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตะวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ทหารขนเอามัดหญ้าแลไม้นั้นไปกองไว้ข้างด้านตะวันตก แล้วบอกทหารทั้งปวงว่าเราจะยกเข้าปล้นด้านนี้
                ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ซึ่งโจโฉให้ทำการทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทำกลอุบาย ข้าพเจ้าจะคิดซ้อนกลโจโฉ ให้เสียทีแก่เราให้จงได้ เตียวสิ้วจึงถามว่า ท่านจะคิดซ้อนกลนั้นประการใด กาเซี่ยงจึงบอกว่าข้าพเจ้าเห็นโจโฉขึ้นดูบนหอคอยถึงสามวัน เห็นผู้คนซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตะวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ขนเอาไม้แลหญ้าไปไว้ข้างตะวันตก จะให้เราจัดแจงป้องกันระวังข้างด้านตะวันตก แล้วโจโฉจะคิดการข้างด้านตะวันออกในเวลากลางคืนเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะให้ชาวเมืองแต่งตัวปลอมเป็นทหารขึ้นรักษาหน้าที่ฝ่ายตะวันตก แล้วจะยกเอาทหารนั้นมาซุ่มไว้หน้าที่ตะวันออก ถ้าโจโฉยกมาทำการเมื่อใด จึงให้จุดประทัดสัญญาณ แล้วจะยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้นตีกระหนาบ เห็นโจโฉจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย ก็ให้ทำตามกาเซี่ยงว่า
                ฝ่ายทหารซึ่งอยู่บนหอคอย ก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้เตียวสิ้วเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ตะวันตกเป็นอันมาก หน้าที่ข้างด้านตะวันออกนั้นผู้คนเบาบางนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี หมายใจว่าจะสมความคิด จึงให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อม ครั้นเวลาสองยามเศษ โจโฉก็ให้ทหารทั้งปวงว่ายน้ำข้ามคูเข้าไป มิได้มีผู้ใดทักทาย ถอดขวากทำลายประตูเมืองเข้าไปได้
                ฝ่ายทหารเตียวสิ้วซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็จุดประทัดสัญญาณขึ้น แล้วชวนกันยกกระหนาบรบฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายทหารโจโฉก็พากันถอยหลังกลับออกมา เตียวสิ้วยกทหารติดตามฆ่าฟันออกไป แลโจโฉกับทหารซึ่งรักษาค่ายอยู่นั้น ก็พลอยแตกตื่นไปด้วย เตียวสิ้วคุมทหารไล่ไปทางประมาณสามร้อยเส้น พอเวลารุ่งขึ้นเตียวสิ้วก็พาทหารกลับเข้าเมือง
                ฝ่ายโจโฉเห็นอิกิ๋มกับลิยอยถูกเกาทัณฑ์เป็นหลายแห่งจึงให้ตรวจทหารดูก็รู้ว่าเสียทหารประมาณห้าหมื่นเศษ ฝ่ายกาเซี่ยงเห็นโจโฉเสียทหารเป็นอันมากจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าเปียวไปสกัดตีโจโฉเห็นจะจับตัวได้ เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือไปให้เล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว
                ฝ่ายเล่าเปียวแจ้งในหนังสือแล้ว ก็จัดแจงทหารจะยกไปคอยสกัดโจโฉพอรู้เนื้อความว่าซุนเซ็กยกทัพเรือมาตั้งอยู่ปากอ่าวเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวจึงปรึกษากับเก๊งเหลียงว่า เตียวสิ้วมีหนังสือมาถึงเราให้เรายกไปสกัดตีโจโฉ บัดนี้ซุนเซ็กก็ยกทัพมาเราจะคิดประการใด เก๊งเหลียงจึงว่า ซึ่งซุนเซ็กยกมาทำการทั้งนี้ เป็นความคิดของโจโฉ บัดนี้โจโฉเสียทีแก่เตียวสิ้วแล้ว เห็นซุนเซ็กจะทำการมิตลอดเราจะยกไปตีซ้ำเติมให้กองทัพโจโฉแตก นานไปจึงจะไม่มีอันตราย เล่าเปียวเห็นชอบด้วย จึงให้หองจอคุมทหารไปตั้งขัดทัพซุนเซ็กไว้ เล่าเปียวนั้นก็คุมทหารยกไปตั้งสกัดโจโฉอยู่ ณ แดนเมืองอันจงก๋วน
                ฝ่ายเตียวสิ้วครั้นให้หนังสือไปถึงเล่าเปียวแล้ว ก็จัดทหารยกตามโจโฉไปแลเมื่อโจโฉแตกมานั้น มิได้ให้ทหารทั้งปวงรีบร้อน ค่อยเดินเป็นปรกติไปจนถึงแม่น้ำหยกซุย โจโฉจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้ ทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งใด โจโฉจึงบอกว่า เรามาถึงที่นี่ให้คิดระลึกถึงเตียนอุยซึ่งตายเคยมาด้วยกันเป็นเพื่อนยาก แล้วโจโฉก็ให้แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนรินสุราเซ่นแก่เตียนอุย ทหารทั้งปวงก็ร้องไห้ด้วย แล้วโจโฉจึงเซ่นโจงั่งผู้บุตร โจอั๋นบิ๋นผู้หลาน กับทหารเลวซึ่งตายนั้น แล้วก็ยกทหารข้าแม่น้ำหยกซุยไป พอม้าใช้เอาหนังสือซุกฮกมาให้โจโฉ โจโฉแจ้งความว่า เตียวสิ้วให้เล่าเปียวยกกองทัพมาตั้งสกัดอยู่ ณ แดนเมืองอันจงก๋วน ให้ท่านคิดป้องกันตัวจงดี
                โจโฉจึงให้แต่งหนังสือตอบซุนฮกไปว่า ซึ่งเล่าเปียวยกมาสกัดทางไว้ แลเตียวสิ้วตามมานั้นเราก็แจ้งอยู่แล้ว เราจึงเดินทัพแต่วันละร้อยเส้น หวังจะคิดการเป็นกลอุบายลวงเตียวสิ้วกับเล่าเปียวให้มีใจกำเริบ แล้วเราจะตีเอาชัยชนะคืนให้ได้ ซึ่งซุนฮกเตือนสติมานั้นก็ขอบใจอยู่แล้ว อย่าให้ซุนฮกวิตกเลย แล้วโจโฉก็ยกไปใกล้จะถึงแดนเมืองอันจงก๋วน รู้กิตติศัพท์ว่ากองทัพเตียวสิ้วมาจะใกล้ทันอยู่แล้ว ครั้นเวลาพลบค่ำจึงให้ทหารทั้งปวงแยกกันเป็นสองกอง ไปขุดหลุมซ่อนตัวอยู่บ้าง เข้าซุ่มอยู่ในพุ่มไม้แลกองหญ้าบ้างทั้งสองข้างทาง ไกลประมาณเก้าเส้นสิบเส้น แล้วให้ตั้งค่ายแอบอยู่ข้างเขาริมทาง ให้ทหารรักษาค่ายอยู่แต่น้อย ถ้าเตียวสิ้วตามมาถึงแล้วก็ให้ทหารในค่ายสงบอยู่ ต่อเตียวสิ้วยกเข้าตีค่ายเมื่อใดจึงจุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารทั้งสองกองจึงยกเข้าตีกระหนาบ
                ฝ่ายเตียวสิ้วก็รีบตามไปในเวลากลางคืน มิทันเห็นค่ายซึ่งโจโฉตั้งไว้ เตียวสิ้วยกทหารล่วงพ้นขึ้นไป พบกองทัพเล่าเปียวจึงถามว่า พบโจโฉหรือไม่เล่าเปียวบอกว่ามิได้พบ ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารจึงบอกเตียวสิ้วว่า โจโฉตั้งค่ายแอบอยู่ข้างหลัง ทหารในค่ายนั้นก็เบาบาง เตียวสิ้วกับเล่าเปียวยินดีนัก จึงให้ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าบรรจบกันเป็นกองเดียว แล้วก็ยกเข้าโจมตีค่ายโจโฉเวลากลางวัน
                ฝ่ายโจโฉก็จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองกองนั้นก็ยกออกตีกระหนาบเป็นสามารถ ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้ว เล่าเปียวล้มตายเป็นอันมาก เตียวสิ้วกับเล่าเปียวก็แตกหนีไป โจโฉก็ยกทหารรีบไปพ้นแดนเมืองอันจงก๋วน จึงให้ตั้งค่ายอยู่ เล่าเปียวจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ครั้งนี้เราเสียทีแก่โจโฉด้วยรู้มิถึง เตียวสิ้วจึงว่า บัดนี้ทหารเรายังอิดโรยอยู่ จะตั้งมั่นพักทหารให้มีกำลังขึ้น แล้วจึงคิดแก้แค้นโจโฉให้ได้ เล่าเปียวเห็นชอบด้วยก็ให้ตั้งค่ายอยู่ในที่นั้น
                ฝ่ายซุนฮกซึ่งอยู่รักษาเมือง ครั้นแจ้งในหนังสือโจโฉแล้ว พอรู้กิตติศัพท์ว่า อ้วนเสี้ยวจะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋ จึงแต่งหนังสือบอกข้อเนื้อความทั้งปวงไปถึงโจโฉ โจโฉรู้เหตุดังนั้นก็เสียใจ จึงจัดแจงทหารรีบยกกลับไปเมืองฮูโต๋
                ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉยกกองทัพรีบไปเมืองฮูโต๋แล้ว ก็ให้จัดแจงทหารยกไปตามโจโฉ กาเซี่ยงจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะยกตามไปครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเสียทีแก่โจโฉอีกเป็นมั่นคง เล่าเปียวจึงว่าเมื่อได้ทีฉะนี้แล้ว จะไม่ยกตามไปจะมาตั้งอยู่ให้ป่วยการทำไม เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย ก็ยกทหารประมาณหมื่นเศษ แล้วพาเล่าเปียวยกตามโจโฉไปทางประมาณร้อยเส้น พอทันโจโฉเข้า โจโฉก็ให้ทหารกองหลังออกรบฆ่าฟันทหารล้มตายเป็นอันมาก เตียวสิ้ว เล่าเปียวก็แตกไป ณ ค่ายซึ่งตั้งอยู่นั้น เตียวสิ้วจึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า ซึ่งเราตามโจโฉไปกลับแตกมาครั้งนี้ เพราะมิได้ฟังคำท่าน
                กาเซี่ยงจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า บัดนี้ขอให้ท่านยกตามโจโฉไปอีกเห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง ถ้าไม่สมคำข้าพเจ้า ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าเสีย เตียวสิ้วได้ฟังดังนั้น ก็ชวนเล่าเปียวยกไป เล่าเปียวไม่ยอม เตียวสิ้วก็คุมทหารยกไปตามโจโฉ ฝ่ายโจโฉมีน้ำใจกำเริบมิได้ยกเป็นกระบวนทัพ ครั้นเตียวสิ้วยกมาโจมตีทหารโจโฉมิรู้ตัวก็แตกกระจัดกระจาย ทิ้งเครื่องศัสตราวุธล้อเกวียนเสียเป็นอันมาก เตียวสิ้วนั้นก็คุมทหารไล่ทหารโจโฉไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงทหารบนเนินเขาโห่ร้องอื้ออึงยกลงมาเป็นอันมาก เตียวสิ้วเห็นจะเสียที ก็พาทหารกลับมา ณ ค่าย เล่าเปียวกับกาเซี่ยงก็พากันออกมารับเตียวสิ้วเข้าไปในค่าย
                เล่าเปียวจึงถามกาเซี่ยงว่า เมื่อเรายกไปครั้งก่อนนั้น ทหารทั้งปวงยังมีกำลังอยู่ ก็เสียทีมาเหมือนหนึ่งคำท่านว่า ครั้งนี้ทหารก็อิดโรยอยู่ท่านหมายชนะแล้ว จึงให้ยกไปก็มีชัยมาต้องคำของท่าน เหตุไฉนท่านจึงรู้การทั้งนี้ กาเซี่ยงจึงตอบว่า ท่านเคยทำศึกมาก็จริง แต่ความคิดท่านรู้ไม่ถึงโจโฉ เมื่อแรกโจโฉยกไปนั้น หมายว่ากองทัพเราจะตามไป จึงให้ทหารมาอยู่ป้องกันข้างท้าย ล้วนมีฝีมือกว่าทหารเรา เราจึงแตกมา ครั้งหลังโจโฉประมาท มิได้ตระเตรียมทหารไว้ตามกระบวนทัพ แล้วก็กังวลอยู่ที่จะรีบไปเมืองฮูโต๋ เราจึงตีแตกโดยง่าย เล่าเปียวกับเตียวสิ้วก็สรรเสริญความคิดกาเซี่ยงว่ามีสติปัญญาหาผู้เสมอยาก แล้วเล่าเปียว เตียวสิ้ว ก็ยิ่งรักกันกว่าแต่ก่อนเหมือนพี่กับน้อง แล้วต่างคนคำนับลากันยกทหารกลับไปเมือง
                แลเมื่อทัพเตียวสิ้วยกมาโจมตีข้างหลังนั้น โจโฉได้ยินอื้ออึง เกณฑ์ทหารจะให้ลงไปช่วย พอทหารซึ่งแตกมานั้นบอกแก่โจโฉว่ากองทัพเตียวสิ้วยกมาโจมตี พอทหารกองหนึ่งยกลงมาจากเนินเขา เตียวสิ้วกลัวจะเป็นทัพกระหนาบ ก็พาทหารกลับไป ถ้าหาไม่ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะล้มตายเป็นอันมาก โจโฉจึงถามว่าจะเป็นกองทัพผู้ใด
                พอลีถองซึ่งยกลงมาจากเนินเขา พาทหารเข้าไปถึงหน้าม้าโจโฉ จึงลงจากม้าวางทวนเสีย แล้วเดินเข้าไปคำนับ โจโฉจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด ลีถองจึงว่าข้าพเจ้าชื่อลีถอง เป็นผู้รักษาเมืองยีหลำ รู้กิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชยกมารบกับเตียวสิ้ว ข้าพเจ้ายกทหารมาช่วย พอพบกองทัพเตียวสิ้วยกตามท่านมา เตียวสิ้วเห็นข้าพเจ้าจึงถอยกลับไป โจโฉมีความยินดี จึงตั้งลีถองเป็นเกียงก๋งเฮ้า แปลภาษาไทยว่า ขุนนางมีความชอบต่อแผ่นดิน คงเป็นผู้รักษาเมืองยีหลำ ให้คุมทหารตรวจตระเวนฝ่ายหัวเมืองตะวันตก ป้องกันเล่าเปียว เตียวสิ้ว อย่าให้ล่วงแดนมาทำอันตรายแก่ราษฎรได้ ลีถองก็มีความยินดีจึงคำนับโจโฉกลับ ณ เมืองยีหลำ
                โจโฉก็ยกทหารรีบไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วกราบทูลว่า ครั้งนี้ซุนเซ็กมีความชอบเป็นอันมาก ขอให้ตั้งซุนเซ็กเป็นโทเง็กเจียงกุ๋น แปลภาษาไทยว่า ขุนนางผู้ใหญ่สำหรับปราบศัตรูในฟากกังตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉจึงแต่งหนังสือตั้งซุนเซ็กกับเครื่องยศ ส่งให้ทหารคุมไปให้ซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง แล้วว่าให้ซุนเซ็กคิดอ่านกำจัดเล่าเปียวเสียจงได้ ครั้นเวลาออกจากเฝ้ากลับมาที่อยู่ ขุนนางทั้งปวงมาเยือนโจโฉเป็นอันมาก
                ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่ามหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาครั้งนี้มิได้รีบร้อยค่อยเดินเป็นปรกติมา ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือไปเตือนสติท่าน ท่านตอบว่าจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกนั้น ท่านหมายประการใดจึงต้องกับคำของท่าน โจโฉตอบว่าเราเสียทีแก่เตียวสิ้วนั้น ครั้นจะคิดรบพุ่งเอาชัยชนะคืน เห็นข้าศึกยังมีกำลังอยู่ ก็จะเสียทหารเป็นอันมาก เราจึงล่อเดินเป็นปรกติมาถึงแดนเมืองอันจงก๋วนเป็นช่องแคบ จึงให้ตั้งค่ายแอบเนินเขาอยู่ ให้ซุ่มทหารไว้สองข้างทาง เตียวสิ้วมิได้รู้กลศึกยกเข้ามาตีค่ายเรานั้น เราจึงให้ทหารตีกระหนาบ กองทัพเตียวสิ้วก็แตกไป ซุนฮกได้ฟังดังนั้นก็สั่นศีรษะ แล้วสรรเสริญว่า ความคิดมหาอุปราชชำนาญในกลศึกหาผู้ใดเสมอมิได้
                พอกุยแกเข้ามาคำนับโจโฉ โจโฉจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงมาต่อภายหลังขุนนางทั้งปวง กุยแกจึงบอกว่า ข้าอยู่เพราะทหารอ้วนเสี้ยวถือหนังสือมาให้ จึงเอาหนังสือให้โจโฉดู แล้วบอกว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวจะขอยกกองทัพไปตีกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง จะขอทหารแลเสบียงท่าน ในหนังสือนั้นว่ากล่าวหยาบช้า ถ้ามิได้ทหารแลเสบียงก็จะยกมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉแจ้งในหนังสือจึงว่า เราก็รู้ระคายอยู่ว่าอ้วนเสี้ยวจะยกกองทัพมาตีเมืองนี้ ครั้นรู้ว่าเรายกกองทัพกลับมาแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงว่าขอทหารแลเสบียงจะไปตีกองซุนจ้าน ซึ่งอ้วนเสี้ยวว่ากล่าวทั้งนี้เป็นข้อหยาบช้า เราจะใคร่ยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว จับตัวอ้วนเสี้ยวฆ่าเสีย แต่เกรงอยู่ด้วยทหารเราน้อยแล้วก็อิดโรยมา ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
                กุยแกจึงว่าครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋องทำการศึกนั้น พระเจ้าฌ้อปาอ๋องกล้าแข็ง แล้วก็มีทหารเป็นอันมาก ฝ่ายพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น ทหารก็น้อยแต่ชำนาญในศึก คิดเอาชัยชนะพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ เนื้อความทั้งนี้ก็ย่อมแจ้งอยู่ ซึ่งอ้วนเสี้ยวมีทหารเป็นอันมากแต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าปรารมภ์ด้วยทหารเราน้อย ถ้ายกไปทำการศึกแก่อ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นท่านจะมีชัยชนะสิบประการ แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะแพ้แก่ท่านสิบประการ โจโฉจึงถามว่าเราจะชนะสิบประการนั้น แลอ้วนเสี้ยวจะแพ้สิบประการนั้นฉันใด ท่านจงวิตถารให้เราแจ้ง
                กุยแกจึงว่าท่านจะชนะสิบประการนั้น คือท่านมิได้ถือตัว ถ้าจะทำการสิ่งใดถึงผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดชอบ ท่านก็เห็นด้วย ประการหนึ่ง น้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่ง ท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงท่านเป็นอันมาก ประการหนึ่ง ใจท่านสัตย์ซื่อ เลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ถึงญาติพี่น้องผิดก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่ง ท่านจะคิดทำการสิ่งใดเห็นเป็นความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จ ประการหนึ่งท่านจะรักผู้ใดก็รักโดยสุจริตมิได้ล่อลวง ประการหนึ่ง ท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกัน ประการหนึ่ง ท่านคิดการหนักหน่วงให้แน่นอนแล้วจึงทำการ ประการหนึ่ง ท่านจะทำการสิ่งใดก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง ท่านชำนาญในกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่านท่านก็คิดเอาชัยชนะได้ เป็นสิบประการ
                ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้น คือ อ้วนเสี้ยวเป็นคนถืออิสริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใด ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ทำการโดยโวหาร ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใดมิได้สิทธิ์ขาด ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิดแลชอบ ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใด มักกลับเอาดีเป็นร้ายเอาร้ายเป็นดี มิได้เชื่อใจของตัว ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใดมิได้ปรกติ ต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชัง ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชัง ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่างๆ เพราะฟังคำคนยุยง ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใด เอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้รู้ในกลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้จะแพ้ก็ไม่รู้ เป็นสิบประการ ข้าพเจ้าจึงว่าท่านจะชนะสิบประการ อ้วนเสี้ยวจะแพ้สิบประการ ดังนี้
                โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ เราก็แจ้งอยู่แล้ว แต่เกรงอยู่ว่า เราทำการรบบัดนี้จะไม่เหมือนคำของท่านว่า ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งกุยแกว่าท่านจะมีชัยชนะแก่อ้วนเสี้ยวสิบประการ แลอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย เพราะอ้วนเสี้ยวหาความคิดมิได้ ถึงมาตรว่าจะมีทหารมากกว่าท่าน ก็เห็นว่าจะแพ้ความคิดแก่ท่านเป็นมั่นคง กุยแกจึงว่า ซึ่งท่านตั้งแต่งลิโป้ไว้นั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าลิโป้เป็นคนหยาบช้า มิได้รู้จักคุณท่าน ทุกวันนี้ลิโป้คิดจะทำร้ายท่าน แต่ยังมิได้ที อุปมาเหมือนหนามเหน็บอยู่ในอกท่าน บัดนี้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน ถ้าท่านจะยกไปรบเอาเมืองอ้วนเสี้ยวก็เห็นจะได้โดยง่าย แต่เกรงอยู่ว่าลิโป้จะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกกองทัพไปกำจัดลิโป้ ซึ่งเป็นศัตรูฝ่ายตะวันออกให้ราบคาบแล้ว จึงยกล่วงไปตีเอาเมืองอ้วนเสี้ยว จึงจะไม่รู้ระวังหลัง โจโฉเห็นชอบด้วยจึงกะเกณฑ์ทหารเตรียมไว้จะยกไปตีเมืองชีจิ๋ว
                ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกทัพไปนั้น ขอให้มีหนังสือไปบอกแก่เล่าปี่ก่อน ให้เล่าปี่คิดทำการจับลิโป้ ถ้ามีหนังสือบอกมาถึงท่านแน่นอนประการใดแล้ว ท่านจึงยกกองทัพไป โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำซุนฮกว่าแล้วให้ทหารถือไปให้เล่าปี่ ณ เมืองเสียวพ่าย แล้วแต่งเป็นหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองกิจิ๋ว แลเมืองเป๊งจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเซียงจิ๋ว สามหัวเมืองนี้ให้อยู่ในบังคับบัญชาอ้วนเสี้ยวผู้มีความชอบ แล้วแต่งหนังสือของโจโฉอีกฉบับหนึ่งว่า ให้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน เราจะยกทหารไปช่วยอ้วนเสี้ยวทำการ ครั้งแต่งแล้วโจโฉก็ให้ทหารถือหนังสือสองฉบับไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือรับสั่งแลหนังสือโจโฉดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารเป็นอันมาก แล้วยกกองทัพไปตีกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น