วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"สามก๊ก" ตอนที่ 18

เรียบเรียงโดย Thepoetry4u.

ขอบคุณเนื้อหาจาก "หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)"


ขณะนั้นโจโฉปูนบำเหน็จทแกล้วทหารใหญ่น้อย แล้วให้คุมครอบครัวลิโป้ขึ้นไปไว้ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉจึงยกกองทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงรู้ดังนั้น ก็แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนออกมาคำนับโจโฉเป็นอันมาก ราษฎรทั้งปวงจึงว่าแก่โจโฉว่า ขอให้ท่านตั้งเล่าปี่ไว้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วเถิด โจโฉจึงตอบว่าครั้งนี้เล่าปี่มีความชอบ เราจะพาขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ก่อน ถ้าพระราชทานบำเหน็จแล้วจึงจะให้กลับลงมาเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว แต่สั่งให้รักษาครอบครัวเล่าปี่ไว้ด้วย

โจโฉก็พาเล่าปี่ยกกองทัพกลับขึ้นไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลว่า ครั้งนี้เล่าปี่ทำราชการมีความชอบเป็นอันมาก พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาเล่าปี่เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า ตัวเป็นบุตรผู้ใด เล่าปี่จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรเล่าเหง แลบิดาข้าพเจ้าเป็นเชื้อพระเจ้าเฮ้าเก๋งเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้น จึงให้หาอาลักษณ์เอาจดหมายลำดับกษัตริย์มาดู นับตามพระราชวงศ์ต่อๆ ลงมาก็แจ้งว่าเล่าปี่เป็นอาของพระองค์ แล้วตั้งให้เล่าปี่เป็นที่ยีตงเฮ้า แปลภาษาไทยว่าเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง แต่นั้นมาพระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือเล่าปี่ว่าเป็นอา โจโฉกับเล่าปี่ก็ถวายบังคมลา ต่างคนต่างออกไปที่อยู่
ซุนฮกจึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือเล่าปี่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ นานไปเห็นเล่าปี่จะทำร้ายท่านเป็นมั่นคง โจโฉจึงตอบว่า ถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้จะนับถือเล่าปี่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ดี อันราชการทั้งปวงเป็นสิทธิ์อยู่แก่เรา เราจะกลัวอะไร ทุกวันนี้เราเกรงแต่เอียวปิวซึ่งเป็นพี่น้องกับอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดนั้น จะเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองหลวง แล้วอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดก็มีกำลังอยู่ ซุนฮกเห็นชอบด้วย
โจโฉจึงคิดกลอุบายให้พรรคพวกของตัวนั้นฟ้องว่า เอียวปิวให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดว่า ให้อ้วนสุดยกทัพมาตีเมืองฮูโต๋ เอียวปิวจะรับเป็นไส้ศึก โจโฉจึงให้จับเอาตัวเอียวปิวมาจำคุกไว้ แล้วให้หมันทองปรึกษาโทษ
ฝ่ายขงหยงรู้ดังนั้นจึงมาหาโจโฉแล้วว่า เอียวปิวทำราชการเป็นขุนนางสืบๆ กันมาแต่ปู่แลบิดาจนตัวเอียวปิว ก็ยังมิได้เห็นความร้ายสิ่งใด แต่ท่านจะเชื่อฟังแต่ผู้ฟ้อง มิได้พิจารณาให้เห็นเท็จแลจริงนั้นไม่ควร ขอให้ท่านพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน โจโฉจึงตอบว่า การทั้งนี้เป็นการรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิใช่เราทำตามอำเภอใจ ขงหยงจึงว่ามหาอุปราชเป็นผู้สำเร็จราชการ ถึงรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จำจะพิจารณาให้เห็นผิดแลชอบก่อน โจโฉได้ยินดังนั้นก็มีความละอาย จึงให้ปล่อยเอียวปิวออกแล้วถอดเสียจากที่ขุนนาง
เอียวงันซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้แจ้งว่า โจโฉกระทำหยาบช้าดังนั้น จึงทำเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า โจโฉทำการแอบรับสั่งเอาตัวเอียวปิวมาทำโทษ แล้วถอดเสียจากที่ขุนนาง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มิได้ตรัสประการใด โจโฉรู้ดังนั้นจึงให้ทหารไปจับตัวเอียวงันฆ่าเสีย แต่นั้นมาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองฮูโต๋ก็เกรงโจโฉเป็นอันมาก
เทียหยกที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจมหาอุปราชสิ้น เป็นไฉนมหาอุปราชจึงมิคิดเอาสมบัติ จะนิ่งไว้ทำการเมื่อไรเล่า โจโฉจึงตอบว่า บัดนี้ขุนนางซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้พระทัยก็มีมากอยู่เห็นเราจะทำการไม่สำเร็จ เราคิดอ่านจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่าดูท่วงทีก่อน โจโฉก็จัดแจงเครื่องสำหรับประพาสป่าไว้พร้อมแล้ว จึงกราบทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่า
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า จะไปเล่าป่านั้นก็จะป่วยการไพร่พลมิได้มีประโยชน์สิ่งใด โจโฉจึงทูลว่า ประเพณีกษัตริย์แต่ก่อนเสด็จไปประพาสป่าปีหนึ่งสี่ครั้ง แล้วจะได้ลองฝีมือทหารทั้งปวง ด้วยบัดนี้บ้านเมืองเรายังไม่ปรกติ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปประพาศป่า จะได้ทอดพระเนตรข้าราชการทหารทั้งปวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ไม่อาจที่จะขัดใจโจโฉได้ โจโฉจึงให้ตรวจตราทหารสิบหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง ขุนนางทั้งปวงกับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ขี่ม้าตามเสด็จไป แต่โจโฉนั้นทำทีเป็นเจ้าขี่ม้าเคียงม้าพระที่นั่ง มิได้ยำเกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นเสด็จไปถึงชายป่ากว้างแห่งหนึ่ง จึงให้หยุดทหารทั้งปวงไว้ ขุนนางกับทหารทั้งปวงไล่ฝูงเนื้อเข้ามาถึงเนินเขาช่องแคบตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสแก่เล่าปี่ว่า เราจะขอดูฝีมือเกาทัณฑ์ท่าน เล่าปี่รับสั่งแล้ว จึงขึ้นม้ายิงเกาทัณฑ์ไปถูกละมั่งตัวหนึ่งล้มลงกับที่
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงทรงเกาทัณฑ์ยิงกวางก็ไม่ถูก จึงตรัสแก่โจโฉว่า ท่านจงยิงกวางตันนั้นให้ถูก โจโฉจึงทูลว่า ถ้าพระองค์จะใคร่เห็นฝีมือข้าพเจ้า จงพระราชทานพระแสงเกาทัณฑ์นั้นมา ข้าพเจ้าจะยิงถวายให้พระองค์ทอดพระเนตร พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เอาเกาทัณฑ์ซึ่งทรงนั้นยื่นให้โจโฉ โจโฉรับเอาพระแสงเกาทัณฑ์มายิงถูกกวางตัวนั้นล้มลง ขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่ใกล้นั้น เห็นพระแสงเกาทัณฑ์เกลียงมังกรนั้นต้องกวางล้มลง ก็คิดว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรง ต่างคนต่างก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงขับม้าผ่านหน้าม้าพระที่นั่งออกไปแล้วร้องว่า ตัวเรายิงเกาทัณฑ์ไปถูกกวางแล้วหรือ ขุนนางแลทหารทั้งปวงเห็นโจโฉทำหยาบช้าต่อหน้าที่นั่งก็ตกใจตะลึงอยู่สิ้น
แต่กวนอูเห็นโจโฉทำดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ามาเงื้อง้าวขึ้นจะฟันโจโฉ แล้วแลมาดูเล่าปี่ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงกระหยิบตา แล้วสั่นศีรษะเป็นทีห้ามกวนอูอย่าให้ทำ กวนอูก็หยุดอยู่ เล่าปี่จึงว่าแก่โจโฉว่า ฝีมือเกาทัณฑ์มหาอุปราชนี้หาผู้ใดเสมอมิได้ โจโฉจึงแกล้งตอบว่า ฝีมือเราเป็นแต่ประมาณ แล้วกลับหน้ามาคำนับพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้ายิงไปถูกกวางนั้น เพราะพระแสงเกาทัณฑ์แลบารมีของพระองค์ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้แจ้งกลอุบายโจโฉ ชวนขุนนางทั้งปวงไล่เนื้อเล่นอยู่จนเวลาเย็น แล้วก็เสด็จกลับเข้าเมือง โจโฉก็เอาพระแสงเกาทัณฑ์ไว้เป็นกรรมสิทธิ์มิได้ถวายคืน ขุนนางทั้งปวงก็กลับไปบ้าน
กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจโฉทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ข้าพเจ้าจะฆ่าเสีย เหตุใดพี่จึงห้ามไว้ เล่าปี่จึงตอบว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้กับตัวเราอยู่ในระหว่างทหารโจโฉ ถ้าเจ้าฆ่าโจโฉเสีย ทหารเขานั้นก็จะฆ่าพี่เสียบ้างทั้งจะทำอันตรายพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย พี่จึงห้ามเจ้าเพราะเหตุฉะนี้
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เข้าไปหานางฮกเฮาผู้เป็นมเหสี จึงตรัสเล่าเนื้อความซึ่งไปประพาสป่า โจโฉทำหยาบช้าทั้งปวงนั้นให้นางฮกเฮาฟังทุกประการ แล้วตรัสว่าตัวเราได้เสวยราชสมบัติมีแต่ความระกำใจ ครั้งตั๋งโต๊ะนั้นก็ทำหยาบช้าแก่เราเป็นอันมาก ครั้งลิฉุย กุยกีก็คิดทำอันตรายแก่เราต่างๆ ครั้งนี้เราคิดว่าโจโฉจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำหยาบช้าแก่เราอีกเล่า อันชีวิตของเรากับเจ้านี้ ไม่รู้จักว่าความตายจะมาถึงวันใด แล้วก็ทรงพระกันแสง นางฮกเฮาได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงซึ่งกินเบี้ยหวัดผ้าปีก็มิได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ละให้พระองค์ทรงพระทุกข์อยู่ฉะนี้ก็เป็นสำหรับกรรมของพระองค์กับข้าพเจ้า
ขณะนั้นพอฮกอ้วนผู้เป็นบิดานางฮกเฮานั้นเข้าไปเฝ้าที่ข้างใน เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกันแสงจึงทูลถามว่า พระองค์ขัดเคืองสิ่งใด พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉทำการหยาบช้าให้ฮกอ้วนฟังทุกประการ ฮกอ้วนจึงทูลว่า เมื่อเสด็จไปประพาสป่าวันนั้นข้าพเจ้าเห็นประจักษ์อยู่สิ้นแล้ว แต่มิรู้จะทำประการใด ขุนนางทั้งปวงเล่าก็มิได้มีใจเจ็บร้อนด้วยพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นแต่ตังสินซึ่งเป็นพระราชวงศ์จะช่วยคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า การครั้งนี้ควรจะหาตังสินเข้ามาปรึกษาหรือประการใด ฮกอ้วนจึงทูลว่า ทุกวันนี้โจโฉจะได้ไว้ใจหามิได้ คิดอ่านแต่งหญิงคนสนิทเข้ามาสอดแนมดูดีแลร้ายในพระราชวังอยู่เป็นนิตย์ ซึ่งจะให้หาตังสินเข้าปรึกษาราชการนั้น เกลือกรู้ไปถึงโจโฉ การที่คิดไว้จะเสียไป ขอให้ทรงพระอักษรซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ จึงให้หาตัวตังสินเข้ามาเอาเสื้อนั้นประทานให้ แล้วบอกตังสินว่า เมื่อไปถึงบ้านแล้วให้เอาพระอักษรนั้นออกมาอ่านดู เห็นโจโฉจะไม่รู้ความลับ พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย ฮกอ้วนก็ลาออกไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ให้โลหิตไหลออกมาแล้วเอาเขียนลงกับแพรขาวตามพระราชดำริ แล้วส่งให้นางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ จึงให้หาตัวตังสินเข้ามาแล้วตรัสว่า เวลาคืนนี้เรากับนางฮกเฮาคิดถึงท่าน เมื่อครั้งพาเราหนีลิฉุย กุยกีไปนั้นความชอบท่านมีเป็นอันมาก เราจึงเอาเสื้อผืนนี้ให้เป็นบำเหน็จ แล้วค่อยกระซิบสั่งว่า ถ้าไปถึงบ้านแล้วจงเอาหนังสือในกลีบเสื้อออกซ่อนอ่านดู แม้เห็นความทุกข์ของเรา จงเร่งคิดการให้สำเร็จอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ ตังสินก็รับเอาเสื้อใส่ แล้วกราบถวายบังคมลาออกจากประตูวังข้างในจะไปบ้าน
ขณะนั้นหญิงซึ่งเข้าไปสอดแนมก็มาบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาตังสินเข้ามาเฝ้าที่ข้างใน แล้วประทานเสื้อให้ผืนหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นประหลาดอยู่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็รีบเข้าไปในวัง พอพบตังสินเข้าที่ประตูวัง จึงถามว่าท่านไปไหนมา ตังสินจึงบอกว่า รับสั่งให้หาเข้าไปพระราชทานเสื้อ โจโฉจึงถามว่า ซึ่งประทานเสื้อนั้นท่านมีความชอบสิ่งใด ตังสินจึงบอกว่า ทรงพระดำริถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าพาเสด็จหนีลิฉุย กุยกีไป โจโฉได้ฟังดังนั้นก็กริ่งใจ จึงทำเป็นว่าท่านมีความชอบได้พระราชทานเสื้อ จงถอดมาให้เราจะชมสักหน่อยหนึ่ง ตังสินได้ยินดังนั้นก็ตกใจ บิดพลิ้วอยู่มิได้ถอด โจโฉเห็นตังสินบิดพลิ้วอยู่ก็มีความสงสัย จึงให้ทหารถอดเอาเสื้อนั้นมาดูก็มิได้เห็นสิ่งใด โจโฉเอาเสื้อใส่เข้าทำเป็นหัวเราะ แล้วว่าเสื้อนี้สมตัวเรา ท่านให้เราเถิดหรือ ตังสินจึงตอบว่าเสื้อนี้เป็นของพระราชทาน ซึ่งข้าพเจ้าจะให้ท่านนั้นไม่ควร ถ้าท่านจะต้องประสงค์แล้วจะเอาไว้ก็ตามเถิด โจโฉจึงตอบว่า เราจะปรารถนาอะไรแก่เสื้อนี้ แล้วโจโฉก็ถอดเสื้อให้ตังสิน ตังสินก็ลาโจโฉไปบ้าน
ครั้นเวลาค่ำตังสินอยู่ในที่นอนแต่ผู้เดียว จึงเอาเสื้อมาพิเคราะห์ดูเป็นช้านาน ก็เห็นแพรขาวแล้วเลาะออกมาดู เป็นลายพระหัตถ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยโลหิตเป็นใจความว่า แต่โจโฉเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้สี่ปีแล้วทำการหยาบช้าต่างๆ จะตั้งขุนนางแลลงโทษผู้ใดก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้ เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือเขียนอักษรเป็นความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ก็ให้ชักชวนกันทำการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป
ตังสินเห็นอักษรดังนั้นก็มีความสงสารนัก ร้องไห้รักพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ตังสินคิดตรึกตรองถ่ายเททุกข์ร้อนแต่ในเวลากลางคืนนั้น นอนไม่หลับจนรุ่งขึ้นจึงเอาพระอักษรนั้นถือเข้าไปในหอดูหนังสือ เอนตัวลงดูพระอักษรพลาง พลางคิดที่จะล้างโจโฉ แต่ยังไม่เห็นช่องประการใด จึงเอาพระอักษรนั้นใส่ในมือเสื้อไว้ด้วยกำลังอดนอนก็หลับไป
พอจูฮกขุนนางซึ่งเป็นเพื่อนรักกับตังสินเคยไปมาหากันก็เข้าไปถึงหอดูหนังสือ เห็นตังสินนอนหลับอยู่ หน้าตาเศร้าหมอง เอามือนั้นพาดอกไว้ เห็นแพรขาวในมือเสื้อจึงเอาออกมาดู เห็นเป็นอักษรเขียนด้วยโลหิต จึงอ่านดูก็รู้เนื้อความว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้คิดอ่านให้ตังสินฆ่าโจโฉเสีย จูฮกจึงเอาพระอักษรมาใส่ไว้ในมือเสื้อของตัว แล้วปลุกตังสินขึ้นว่า เหตุไฉนช่างมีความสบายนอนหลับได้ดังนี้ ตังสินตื่นขึ้นไม่เห็นพระอักษรในมือเสื้อก็ตกใจตัวสั่น จูฮกเห็นดังนั้นจึงแกล้งว่า ท่านจะคิดทำร้ายโจโฉหรือ เราจะไปบอกโจโฉให้แจ้ง ตังสินได้ฟังจูฮกว่าดังนั้นก็ยิ่งตกใจดังชีวิตจะออกจากกาย แล้วว่าซึ่งท่านจะไปบอกโจโฉนั้นใช่จะตายแต่ตัวเราหามิได้ เหมือนหนึ่งท่านแกล้งฆ่าชีวิตพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียด้วย จูฮกจึงว่าอย่ากลัวเลยเราจะใคร่ลองใจท่านดอก ตัวเราก็เป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต แต่ขัดสนด้วยยังหาผู้ใดจะคิดเป็นหลักมิได้ ถ้าท่านจะคิดกำจัดโจโฉ เราจะขออาสาแผ่นดินร่วมคิดด้วย
ตังสินได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าถ้าท่านตั้งใจสุจริตต่อแผ่นดินอยู่ฉะนี้ เห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมีพระบารมีอยู่ จูฮกจึงว่าเรากับท่านจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินแล้ว จงให้หนังสือสัญญาไว้ต่อกันให้เป็นสำคัญ จึงคิดการสืบไป พอคนมาบอกตังสินว่า บัดนี้ตันอิบกับโงห้วนซึ่งเป็นขุนนางจะมาหาท่าน ตังสินได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงบอกแก่จูฮกว่า ตันอิบกับโงห้วนเป็นเพื่อนรักของเรามาท่านจงเข้าไปแอบอยู่ในม่านก่อน เราจะให้ไปรับตันอิบ โงห้วนเข้ามา แล้วตังสินก็ให้คนออกไปเชิญเข้ามา ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน ตันอิบจึงว่าแก่ตังสินว่า เมื่อพระเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่านั้น โจโฉทำการหยาบช้าก็เห็นอยู่ ยังมีความแค้นบ้างหรือไม่ ตังสินจึงบอกว่า เราเห็นประจักษ์อยู่แต่มิรู้ที่จะทำประการใด
โงห้วนจึงว่า เกิดมาเป็นชายแล้ว แล้วก็เป็นข้าราชการ ถึงตัวจะตายก็ไม่ว่า แต่ให้ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด จะได้มีชื่อปรากฎไว้ภายหน้า จูฮกซึ่งแอบอยู่ในม่านได้ยินดังนั้นจึงออกมาว่าแก่ตังสินว่า ท่านจงเป็นพยานเราด้วย บัดนี้ตันอิบกับโงห้วนคิดกันจะทำร้ายโจโฉ เราจะเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉให้แจ้ง ตันอิบได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เกิดมาเป็นข้าราชการจะอาสาแผ่นดิน มิได้กลัวความตาย ตังสินจึงห้ามตันอิบว่าอย่าโกรธเลย เนื้อความทั้งนี้ได้คิดกับจูฮกไว้ก่อนท่านทั้งสองอีก แล้วจึงปรึกษาแก่ท่าน ซึ่งจูฮกว่านี้จะลองใจท่านดอก แล้วตังสินก็เอาพระอักษรนั้นออกให้ตันอิบกับโงห้วนดู ตันอิบกับโงห้วนเห็นพระอักษรก็ร้องไห้รักพระเจ้าเหี้ยนเต้
จูฮกจึงว่า ท่านทั้งสองอยู่กับตังสินก่อน เราจะไปหาจูลันมาปรึกษาความลับด้วย แล้วจูฮกก็พาจูลันมา แล้วจึงเอาพระอักษรออกให้ดู จึงคิดพร้อมใจกันลงชื่อไว้เป็นสำคัญทั้งห้าคน ตังสินจึงให้แต่งโต๊ะมาแล้วชวนกันเสพย์สุราแล้วสาบานไว้ต่อกันว่า มิให้เอาเนื้อความทั้งนี้ไปแพร่งพราย
ฝ่ายม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงเข้ามาในเมืองหลวง เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่านั้นได้ตามเสด็จไปด้วย ม้าเท้งเห็นโจโฉกระทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งม้าเท้งไปจะเข้าหาตังสิน นายประตูจึงไปบอกตังสินว่า ม้าเท้งมาหาท่าน ตังสินนั่งเสพย์สุรากับขุนนางสี่คนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ยกโต๊ะออกมาเสีย แล้วให้ขุนนางทั้งสี่คนนั้นแอบซ่อนอยู่หลังฉาก ตังสินก็ลุกออกไปรับ ม้าเท้งก็คำนับกันตามสมควร ม้าเท้งเห็นหน้าตังสินสดใสบริบูรณ์อยู่ สำคัญว่าตังสินไม่เจ็บร้อนต่อแผ่นดิน ม้าเท้งทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เสียแรงพระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือท่านว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ควรหรือไม่เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน เราจะลาท่านกลับไปแล้ว ตังสินคิดกริ่งใจยุดชายเสื้อม้าเท้งไว้แล้วว่า เหตุไฉนท่านจึงว่าเราไม่เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ม้าเท้งจึงตอบว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาศป่า โจโฉกระทำพยาบช้า เราเป็นแต่ข้าราชการหัวเมืองยังมีใจเจ็บแค้น ท่านเป็นเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้เหตุใดมานิ่งสบายอยู่ฉะนี้ ไม่คิดกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย
ตังสินยังไม่ไว้ใจม้าเท้ง ทำเป็นตกใจแล้วตอบว่า เหตุไฉนท่านจึงเอาความนี้มาเจรจา ทุกวันนี้โจโฉเป็นมหาอุปราช สำเร็จราชการช่วยบำรุงแผ่นดิน แลท่านมาเจรจาดังนี้ ถ้ามีผู้รู้เห็นเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ เราจะมิพากันตายเสียหรือ ม้าเท้งจึงว่าท่านยังนับถือโจโฉเป็นดีอยู่อีกเล่า ท่านเป็นคนสอพลอรักชีวิต ไม่เป็นใจที่จะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ท่านค่อยอยู่เถิดเราจะลาไปแล้ว ตังสินเห็นว่าม้าเท้งมีใจซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงว่าท่านอย่าเพ่อโกรธ ขอให้งดฟังดูก่อน แล้วตังสินก็เอาพระอักษรของพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นมาให้ม้าเท้งดู ม้าเท้งแจ้งในพระอักษรดังนั้นก็โกรธ กระทืบเท้าขบฟันจนโลหิตไหลออกจากปากแล้วจึงว่าแก่ตังสินว่า เร่งคิดอ่านกระทำการในนี้เถิด เราจะกลับไปเมืองเสเหลียง จึงจะยกทหารมาช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียให้จงได้ ตังสินจึงให้ขุนนางสี่คนนั้นออกมาหาม้าเท้ง แล้วกระทำสัตย์สาบานลงชื่อพร้อมกันทั้งหกคน แล้วตังสินจึงว่าแก่ม้าเท้งว่า การซึ่งจะบำรุงแผ่นดินครั้งนี้จะสำเร็จเพราะท่าน
จูฮก จูลัน ตันอิบ โงห้วนจึงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ผู้ซึ่งสัตย์ ซื่อต่อแผ่นดินมาช่วยคิดอ่านอีก ตังสินจึงว่า การทั้งนี้เป็นความลับเราจะแพร่งพรายนักก็จะเสียการไป ม้าเท้งได้ยินขุนนางทั้งสี่คนกับตังสินพูดกันดังนั้น คิดขึ้นได้ถึงเล่าปี่ ก็ตบมือหัวเราะว่า เราได้อีกคนหนึ่งแล้ว ตังสินจึงถามว่าผู้ใดม้าเท้งจึงว่า เล่าปี่ก็เป็นเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดท่านจึงมิได้คิดการด้วย ตังสินจึงว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่อยู่ในอำนาจโจโฉ เราจะไว้ใจมิได้ก่อน ม้าเท้งจึงว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่า ขุนนางทั้งปวงเข้าถวายบังคมโจโฉชักม้าผ่านหน้าพระที่นั่งออกมา ทำอาหารประหนึ่งจะรับคำนับขุนนางทั้งปวง กวนอูโกรธเงื้อง้าวขึ้นจะฟังโจโฉ เล่าปี่กระหยิบตาสั่นศีรษะห้ามกวนอู เราเห็นกิริยาเล่าปี่จะคิดร้ายโจโฉอยู่ แต่หากเกรงว่าทหารซึ่งเป็นใจแก่โจโฉนั้นมาก เล่าปี่กลัวจะเสียทีจึงห้ามกวนอูไว้ ท่านจงคิดอ่านพูดจากับเล่าปี่ดูเถิด ตังสินเห็นชอบด้วย ม้าเท้งกับขุนนางทั้งสี่คนนั้นก็ลาตังสินกลับไปบ้าน
ครั้นเวลาค่ำตังสินจึงเอาพระอักษรของพระเจ้าเหี้ยนเต้ลอบไปหาเล่าปี่ เล่าปี่เห็นตังสินมาก็ดีใจเชิญให้กินโต๊ะ ตังสินจึงถามเล่าปี่ว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่า กวนอูเงื้อง้าวขึ้นจะฟันโจโฉ เหตุไฉนท่านจึงห้ามไว้ เล่าปี่ตกใจจึงว่า ทำไมท่านจึงเห็นการทั้งนี้ ตังสินจึงว่าผู้อื่นมิได้สังเกต แต่เราผู้เดียวเห็นอยู่
เล่าปี่ได้ฟังตังสินว่าเห็นประจักษ์อยู่ดังนั้น ครั้นจะปฏิเสธเสียก็จะเป็นเท็จจึงตอบว่า กวนอูเห็นมหาอุปราชทำเกินอยู่หน่อยหนึ่ง น้องเราจึงโกรธ เพราะ เจ็บร้อนด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตังสินได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้น คิดถึงพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ร้องไห้ ว่าแม้ขุนนางทั้งปวงมีใจเจ็บร้อนเหมือนกวนอูนี้แล้ว ไหนเลยพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้ความเดือดร้อนดังนี้ เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็คิดสงสัยว่าโจโฉแกล้งแต่งกลอุบายให้ตังสินมาพูดจา จึงแกล้งตอบว่าทุกวันนี้โจโฉเป็นมหาอุปราชช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอยู่ เหตุไฉนท่านจึงว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนนั้นไม่ควร ตังสินโกรธลุกขึ้นว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็นับถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ เหตุไฉนท่านจึงยกย่องอ้ายขบถ จะลองใจเราหรือ
เล่าปี่เห็นว่าตังสินสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตอบว่า เดิมทีเราสงสัยคิดว่าท่านแต่งกลอุบายมาลวงเรา เราจึงแกล้งเจรจาทั้งนี้ ตังสินจึงเอาพระอักษรนั้นให้เล่าปี่ดู เล่าปี่เห็นพระอักษรแล้วคิดสงสารก็ร้องไห้ ตังสินจึงเอาหนังสือสัญญาซึ่งคิดจะทำการด้วยกันทั้งหกคนให้เล่าปี่ดู เล่าปี่จึงว่า แม้ท่านจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยเราก็ให้เขียนหนังสือสัญญาไว้เป็นสำคัญ จะได้ช่วยกันทำการสืบไป เล่าปี่ก็เขียนหนังสือสัญญาเข้าชื่อด้วยอีกคนหนึ่งนั้นให้ตังสินแล้วกำชับว่า ซึ่งจะทำการครั้งนี้ ให้ท่านคิดตรึกตรองจงดี แม้แพร่งพรายไป การเราจะไม่สำเร็จจะเสียท่วงที ตังสินรับคำเล่าปี่แล้วก็ลาไปบ้าน


Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น