วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"สามก๊ก" ตอนที่ 20

เรียบเรียงโดย Thepoetry4u.

ขอบคุณเนื้อหาจาก "หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)"


เล่าปี่จึงว่า ครั้งนี้อ้วนสุดตายก็เพราะเรายกกองทัพไปรบพุ่ง ซึ่งจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้น เห็นอ้วนเสี้ยวจะไม่ยกมาช่วย ด้วยมิได้มีไมตรีต่อกันกับเรา ตันเต๋งจึงว่า เต้เหี้ยนซึ่งอยู่ในเมืองชีจิ๋วนี้เป็นเกี่ยวดองกับอ้วนเสี้ยวแล้วก็ชอบอัชฌาสัยกันกับท่านมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นท่านไปคำนับเต้เหี้ยนอยู่เนืองๆ ถ้าท่านจะขอหนังสือเต้เหี้ยนไปถึงอ้วนเสี้ยว เห็นอ้วนเสี้ยวจะยกมาช่วยท่านตามหนังสือเต้เหี้ยนเป็นมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า เต้เหี้ยนก็นั้นเป็นครูสอนหนังสือเรามาแต่ครั้งอยู่เมืองตุ้นก้วน อยู่มาเต้เหี้ยนเข้าไปทำราชการเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นขันทีสิบคนทำการหยาบช้า เต้เตี้ยนก็ลาออกจากราชการมาอยู่เมืองชีจิ๋ว แล้วเล่าปี่ก็จัดแจงสิ่งของพาตันเต๋งไปหาเต้เหี้ยน ณ บ้าน เล่าปี่จึงคำนับเต้เหี้ยน แล้วเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ เห็นแต่ท่าน ท่านจงเอ็นดูข้าพเจ้า จงแต่งเป็นหนังสือของท่านไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวให้ยกมาช่วยข้าพเจ้ารบโจโฉ

ฝ่ายเต้เหี้ยนได้ฟังดังนั้นมีความเมตตา จึงเขียนหนังสือให้ตามคำเล่าปี่ว่า เล่าปี่รับเอาหนังสือแล้วก็ลาเต้เหี้ยนกลับมา จึงให้ซุนเขียนถือหนังสือไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือเต้เหี้ยนดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า เล่าปี่ทำร้ายแก่อ้วนสุดน้องเรา เราก็คิดแค้นอยู่ ครั้นเราจะมิยกไปบัดนี้ ก็เกรงใจเต้เหี้ยนซึ่งได้มีหนังสือมาถึงเรา แล้วให้หาทหารผู้ใหญ่ทั้งปวงมาปรึกษาว่า ครั้งนี้โจโฉมีกำลังเป็นอันมาก แล้วทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เตียนห้องที่ปรึกษาจึงว่า ท่านยกกองทัพไปทำสงครามทุกปีมิได้ขาด ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ ประการหนึ่งเสบียงอาหารในฉางเล่าก็เบาบาง ยังมิได้ซ่องสุมไว้ให้บริบูรณ์ ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความอดอยากลำบากนัก ขอให้ท่านมีหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสห้ามปรามโจโฉ อย่าให้ยกกองทัพไปทำอันตรายแก่หัวเมืองทั้งปวงให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือนร้อน ถ้าโจโฉมิทำตามรับสั่ง เราจึงยกกองทัพใหญ่ไปตั้งรายอยู่ทุกหัวเมือง เกลี้ยกล่อมผู้คน กวาดข้าวปลาอาหาร แต่งเครื่องศัสตราวุธล้อเกวียนเรือรบไว้ให้พร้อมจงมาก แล้วจึงให้มีหนังสือเข้าไปประกาศแก่ขุนนางในเมืองหลวงว่า โจโฉเป็นศัตรูราชสมบัติ เมื่อขุนนางทั้งปวงเห็นด้วยพร้อมกันแล้ว เราก็ได้ทีทำถนัด ประมาณสามปีการนี้ก็จะสำเร็จโดยง่าย
สิมโพยได้ยินเตียวห้องว่าดังนั้นจึงตอบว่า ท่านคิดทั้งนี้ไม่ชอบ อันทหารของนายเราครั้งนี้ล้วนมีฝีมือเป็นอันมาก ถ้าจะคิดกำจัดโจโฉนี้ง่ายนัก อุปมาเหมือนพลิดมือคว่ำลง เป็นไฉนท่านจึงคิดให้ยืดยาวไปฉะนี้ ชีสิวได้ฟังสิมโพยว่าดังนั้นจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ธรรมดาการสงครามใช่จะมีชัยชนะด้วยทหารมากหามิได้ ย่อมจะชนะเพราะมีสติปัญญาคิดกลอุบายต่างๆ อันโจโฉนั้นถึงมาตรว่าจะมีทหารน้อยกว่าเราก็จริง แต่ความคิดโจโฉชำนาญในการสงครามลึกซึ้งนัก ที่ปรึกษาก็หลักแหลม ซึ่งจะทำได้โดยง่ายเหมือนกองซุนจ้านนั้นหาไม่ ขอให้ท่านทำตามคำเตียนห้องจึงจะสำเร็จ
กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้ได้ทีทำอยู่แล้ว ซึ่งหน่วงไว้ตามคำเตียวห้องกับชีสิวนั้นโจโฉจะได้ความคิดมากขึ้น ไปภายหน้าทหารเราทั้งปวงจะได้ยาก แล้วเต้เหี้ยนก็ให้มีหนังสือมาถึงท่าน ถ้าท่านจะมิยกไปเต้เหี้ยนจะมีความน้อยใจ ประการหนึ่งเล่าปี่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ควรที่ท่านจะยกไปช่วยเล่าปี่ทำการกำจัดโจโฉเสีย พระมหากษัตริย์กับขุนนางแลราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุขเพราะท่าน อ้วนเสี้ยวได้ฟังทหารสี่คนปรึกษามิตกลงกัน พอเห็นเขาฮิวกับซุนขามเข้ามา อ้วนเสี้ยวจึงคิดในใจว่า เขาฮิวกับซุนขามนี้มีสติปัญญากว่าคนทั้งปวง เราจะปรึกษาลองความคิดทั้งสองคนดูจะเห็นประการใด อ้วนเสี้ยวจึงบอกเขาฮิวกับซุนขามตามความทั้งสิ้น แล้วถามว่าท่านจะเห็นประการใด
เขาฮิวกับซุนขามจึงว่า ครั้งนี้ทหารท่านก็มีเป็นอันมาก แล้วก็มีฝืมือกล้าแข็ง จำจะไปช่วยเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์อันมีกำลังน้อย จะได้กำจัดโจโฉซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติเสีย เหมือนท่านช่วยกู้แผ่นดินไว้ ความชอบก็จะมีแก่ท่านไปภายหน้า อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความคิดท่านทั้งสองว่านี้เหมือนใจเราคิดไว้แล้วแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปให้แก่เต้เหี้ยนเป็นใจความว่า เราจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉ ให้เล่าปี่ยกไปบรรจบกันกับเรา ซุนเขียนก็รับเอาหนังสือแล้วลาอ้วนเสี้ยวกลับมา ครั้นถึงเมืองชีจิ๋วก็เอาหนังสือนั้นไปให้เล่าปี่
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวก็กะเกณฑ์ทหาร ให้งันเหลียง บุนทิวคุมทหารเป็นทัพหน้า ให้สิมโพยกับฮองกี๋เป็นหลัดทัพบังคับทหารใหญ่น้อยทั้งปวง ตัวอ้วนเสี้ยวเป็นทัพหลวงคุมทหารขี่ม้าสิบห้าหมื่น ทหารเดินเท้าสิบห้าหมื่น เข้ากันเป็นสามสิบหมื่น ให้เตียนห้อง เขาฮิว ซุนขาม สามคนนี้เป็นที่ปรึกษา ครั้นตระเตรียมทหารแล้ว คอยได้ฤกษ์ดีจึงจะยกทัพไป กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉครั้งนี้ จงทำการกั้นหัวเมืองแลราษฎรทั้งปวงอย่าให้เข้ากับโจโฉได้ อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า ท่านจะให้ทำประการใด กัวเต๋าจึงว่าเมื่อท่านจะยกกองทัพไปนั้น ขอให้แต่งหนังสือไปปิดไว้ทุกหัวเมืองกล่าวโทษโจโฉว่า ทำการหยาบช้าเป็นขบถต่อแผ่นดิน
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าตันหลิมซึ่งเป็นอาลักษณ์แต่ครั้งพระเจ้าฮั่นเต้ ซึ่งเป็นพระอัยกาพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อตั๋งโต๊ะยกเข้ามาอยู่ในเมืองลกเอี๋ยงนั้น ตันหลิมจึงหนีมาอยู่กับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงให้ตันหลิมแต่งหนังสือตามคำกัวเต๋าว่า ตันหลิมจึงแต่งหนังสือสิบแปดฉบับต้องกันเป็นใจความว่า พระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน บ้านเมืองย่อมเป็นอันตรายต่างๆ เพราะ มีผู้กล้าแข็งหยาบช้าประทุษร้ายต่อแผ่นดิน ขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจผู้นั้นประการหนึ่ง พระมหากษัตริย์เชื่อฟังสตรี บ้านเมืองจึงเป็นจลาจลต่างๆ ข้อซึ่งมีผู้กล้าแข็งหยาบช้า ขุนนางทั้งปวงต้องอยู่ในอำนาจนั้น คือครั้งพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้เสวยราชสมบัติแต่พระชนมายุเจ็ดขวบ เตียวโก๋เป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้ไว้พระทัยเตียวโก๋ เตียวโก๋คิดการหยาบช้าจะชิงเอาราชสมบัติ ถือกระบี่เข้าเฝ้าเป็นอัตรา ขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจเตียวโก๋เป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งเตียวโก๋จะใคร่รู้ว่า ขุนนางในเมืองหลวงจะสัตย์ซื่อมากหรือ หรือจะเป็นคนอาสัตย์สอพลอมาก จึงให้เอากวางสองตัวไปที่ชุมนุมขุนนาง แล้วเตียวโก๋ว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่าเราได้ม้ามาสองตัว ผู้ใดจะรู้จักหรือไม่ ขุนนางซึ่งอาสัตย์สอพลอก็ชวนกันว่า ท่านได้ม้าสองตัวมาแต่ไหนต้องลักษณะดีนัก ซึ่งว่าม้าตามคำเตียวโก๋ประมาณเจ็ดส่วนขุนนางซึ่งสัตย์ซื่อประมาณสามส่วน ก็ว่ากวางดอกมิใช่ม้า เตียวโก๋ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจเราถึงเจ็ดส่วนแปดส่วน แต่นั้นมาเตียวโก๋ก็คิดการกำเริบ ว่าราชสมบัตินี้อยู่ในเงื้อมมือเรา ขุนนางซึ่งมิได้เข้าด้วยนั้นเตียวโก๋พาลเอาผิด ฆ่าเสียบ้างถอดออกเสียจากที่บ้าง พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้กับขุนนางแลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน แผ่นดินจวนจะเป็นอันตรายขึ้น ขุนนางทั้งปวงซึ่งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงคิดพร้อมกันจับตัวเตียวโก๋กับญาติพี่น้องฆาเสียสิ้น ความชั่วเตียวโก๋ปรากฏมาจนทุกวันนี้
ข้อซึ่งพระมหากษัตริย์เชื่อถือสตรีนั้น คือครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัติมีพระทัยรักนางลิเฮาผู้เป็นพระมเหสียิ่งนัก แลนางลิเฮาจะพิดทูลประการใด พระเจ้าฮั่นโกโจเชื่อฟังทุกประการ แล้วพระเจ้าฮั่นโกโจตั้งลิชันกับลิหลก ซึ่งเป็นน้องนางลิเฮาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ซ้ายขวา แลลิชันกับลิหลกนั้นเข้าไปข้างในก็ได้ จะทำการสิ่งใดมิได้เกรงพระเจ้าฮั่นโกโจ แลทำหยาบช้าข่มเหงริบเอาทรัพย์สิ่งสินของราษฎรบ้าง ฆ่าเจ้าของเสียบ้าง ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจลิชัน ลิหลกสิ้น ถ้ามีผู้มาร้องทุกข์ราษฎรกล่าวโทษลิชันกับลิหลกว่าข่มเหงราษฎร นางลิเฮาก็ทูลขัดขวางพระเจ้าฮั่นโกโจก็ฟัง อาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ครั้นอยู่มาพระเจ้าฮั่นโกโจสวรรคต ลิชัน ลิหลกคิดการกำเริบ ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเสวยราชสมบัติ ฝ่ายจิวบดกับเล่าเจี๋ยงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมือง มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงคิดอ่านชักชวนกันจับลิชัน ลิหลกกับญาติพี่น้องฆ่าเสียสิ้น แล้วเชิญอันบุนเต้ซึ่งเป็นพระราชบุตรขึ้นเสวยราชสมบัติ บ้านเมืองจึงเป็นสุขมา
ข้อซึ่งพระมหากษัตริย์เชื่อถือคำคนพาลนั้น คือพระเจ้าฮั่นเต้ได้เสวยราชสมบัติ เชื่อฟังขันทีทั้งปวง ฝ่ายโจเท้งซึ่งเป็นปู่โจโฉ ก็เป็นขุนนาง คบคิดกับพวกขันทีทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน บ้านเมืองจึงเป็นจลาจลมา อย่างธรรมเนียมก็ฟั่นเฟือนแปรปรวนไป ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติ ก็ได้ความเดือดร้อนพระทัยมาเป็นหลายครั้ง ครั้งนี้โจโฉมีทหารเป็นอันมาก แล้วมีใจกำเริบคิดทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน หวังจะทำอันตรายราชสมบัติให้สาบสูญ ก็เสียขนบธรรมเนียมการแผ่นดินไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ได้ความเดือดร้อนอีกฉะนี้ เราผู้ชื่ออ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วซึ่งเป็นเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเห็นว่าโจโฉทำการไม่ชอบ จะทำร้ายพระมหากษัตริย์ เราจึงยกกองทัพมาหวังจะกำจัดโจโฉ ถ้าเจ้าเมืองทั้งสิบแปดหัวเมืองเห็นหนังสือซึ่งเราให้ไปปิดไว้นี้ ก็ให้คิดถึงพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้แลพระมหากษัตริย์แต่ก่อน อย่าให้หัวเมืองทั้งปวงแลราษฎรไปเข้าด้วยโจโฉเป็นอันขาดทีเดียว ครั้นตันหลิมแต่งหนังสือแล้วอ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารรีบเอาไปปิดไว้ทั้งสิบแปดหัวเมือง พอถึงวันฤกษ์ดีอ้วนเสี้ยวจึงพาตันหลิมแลทหารทั้งปวงยกกองทัพไปถึงตำบลลิมหยง ปลายแดนเมืองฮูโต๋แล้วหยุดทหารตั้งค่ายมั่นอยู่
ฝ่ายทหารโจโฉ ครั้นเห็นหนังสือซึ่งอ้วนเสี้ยวให้ทหารเอาไปปิดไว้ ณ หัวเมือง จึงจำลองตามเรื่องเนื้อความแล้วเอาไปให้โจหอง ณ เมืองฮูโต๋ โจหองก็เอาหนังสือนั้นเข้าไปให้โจโฉ ขณะนั้นโจโฉป่วยนอนอยู่จึงรับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดูก็แจ้งในเนื้อความสิ้นทุกประการ โจโฉโกรธเหงื่อออกทุกเส้นขน จึงลุกขึ้นถามโจหองว่า หนังสือนี้ยังรู้ว่าผู้ใดแต่ง โจหองจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าหนังสือนี้ตันหลิมแต่ง โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า อ้วนเสี้ยวคิดทำการใหญ่ก็มีสติปัญญาอยู่ แต่หาทหารเอกที่มีฝีมือมิได้ ถ้าพร้อมกันทั้งสองประการเห็นอ้วนเสี้ยวจะคิดการใหญ่ตลอด เสียดายตันหลิมเป็นคนมีสติปัญญา ซึ่งไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวนั้นเห็นจะป่วยการเสียเปล่า แล้วโจโฉก็หานายทหารทั้งปวงมาปรึกษาว่า ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวยกทัพมา เราจะคิดรบพุ่งประการใด
ขงหยงจึงว่า อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เห็นกำลังเราจะสู้รบไม่ได้ ขอให้ท่านแต่งคนไปว่ากล่าวเป็นไมตรีแก่อ้วนเสี้ยวโดยดี เห็นอ้วนเสี้ยวจะเลิกทัพกลับไป ซุนฮกได้ยินดังนั้นจึงตอบขงหยงว่า อ้วนเสี้ยวจะมีปัญญาความคิดแลฝีมือรบพุ่งก็หาไม่ เห็นแต่ว่ามีทหารเป็นอันมาก ซึ่งจะให้ไปว่ากล่าวเป็นไมตรีนั้นไม่ชอบ ขงหยงจึงตอบว่าอ้วนเสี้ยวหามีฝีมือแลปัญญาความคิดไม่ก็จริง แต่มีเมืองขึ้นเป็นหลายตำบล แล้วเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทั้งสิมโพย เขาฮิว กัวเต๋า ฮองกี๋ สี่คนมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว อันทหารเอกซึ่งมีฝีมือนั้น คือเตียนห้อง ชีสิว งันเหลียง บุนทิว โกลำ เตียวคับ อิเขงแล้วก็มีใจสัตย์ซื่อต่ออ้วนเสี้ยว ทั้งทหารเลวก็มีเป็นอันมาก เหตุใดท่านจึงมาดูหมิ่นอ้วนเสี้ยวฉะนี้
ซุนฮกได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ทหารเอกอ้วนเสี้ยวซึ่งมีปัญญาแลฝีมือนั้น จะนับว่าชำนาญมิได้ อันเตียนห้องนั้นเป็นคนหยาบช้าดื้อดึง แลเขาฮิวนั้นมีปัญญาก็จริงแต่เป็นคนโลภ ทำสิ่งใดก็มักเสียการ สิมโพยนั้นเป็นคนอวดรู้ถึงผู้ใดว่าชอบก็ถือว่าผิด ฮองกี๋นั้นเป็นคนโวหารเอาการมิได้ ทั้งสี่คนซึ่งเป็นที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยวนั้น ต่างคนถือตัวแก่งแย่งมิได้ประนอมกัน อันทหารเอกมีฝีมือทั้งเจ็ดคนนั้น มิรู้จักทีเสียทีได้ ถ้าได้ทำศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นจะจับตัวได้เป็นมั่นคง อันทหารเลวถึงจะมีมากสักเท่าใด ก็เป็นแต่พลอยแพ้พลอยชนะด้วย ขงหยงได้ยินดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด
โจโฉเห็นขงหยงนิ่งอยู่ก็หัวเราะแล้วว่า ซุนฮกนี้ประมาณการสิ่งใดมิได้ผิดแล้วแต่งเล่าต้ายกับอองต๋งคุมทหารห้าหมื่น เอาธงสำคัญสำหรับทัพโจโฉไปด้วยจะให้ยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะให้เล่าต้ายอองต๋งไปเป็นแม่ทัพนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะทานฝีมือเล่าปี่ไม่ได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็แจ้งอยู่แล้ว ซึ่งเราจะให้เล่าต้าย อองต๋งไปครั้งนี้เหมือนหนึ่งจะกันกองทัพเล่าปี่ไว้ มิให้เข้าถึงกันกับกองทัพอ้วนเสี้ยว แล้วโจโฉจึงสั่งเล่าต้าย อองต๋งว่า ซึ่งท่านยกไปนั้น อย่าเพ่อเข้ารบพุ่งหักหาญเอาเมืองชีจิ๋วก่อน ให้ตั้งรอป้องกันไว้แต่พอเป็นที ถ้ากองทัพเรารบอ้วนเสี้ยวแตกแล้วเมื่อใด จึงจะยกไปบรรจบตีเอาเมืองชีจิ๋วทีเดียว เล่าต้ายกับอองต๋งก็คำนับรับคุมทหารห้าหมื่น ยกไปทำตามคำโจโฉสั่ง โจโฉจัดแจงทหารได้ประมาณยี่สิบหมื่นแล้วยกไปถึงตำบลกัวต่อ จึงให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นไว้ทางไกลค่ายอ้วนเสี้ยวประมาณแปดร้อยเส้น
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ว่ากองทัพโจโฉยกมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงปรึกษากับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า จะยกออกรบโจโฉหรือประการใด ยังปรึกษาไม่ตกลงกัน เพราะเหตุเขาฮิวมีความน้อยใจว่า สิมโพยได้เป็นปลัดทัพบังคับทหารทั้งปวง แล้วชีสิวมีความน้อยใจอ้วนเสี้ยวว่า จะปรึกษาราชการสิ่งใดไม่เห็นด้วย จึงมิได้ยกออกรบโจโฉ ทัพอ้วนเสี้ยวตั้งรอกันอยู่ตั้งแต่เดือนสิบจนถึงเดือนสิบสอง
ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมิได้ยกออกรบ ก็เกรงว่าอ้วนเสี้ยวจะแต่งทัพอ้อมไปทำร้ายเมืองฮูโต๋ จึงให้จงป้าซึ่งเป็นทหารลิโป้นั้น คุมทหารไปตั้งสกัดทางร่วมเมืองกิจิ๋วกับเมืองชีจิ๋ว อย่าให้ทหารอ้วนเสี้ยวแลทหารเล่าปี่เดินไปมาหากันได้ ให้อิกิ๋มกับลิเตียนคุมทหารเป็นกองหน้า ไปตั้งสกัดทางแม่น้ำฮองโหแดนเมืองฮูโต๋ไว้อย่าให้กองทัพอ้วนเสี้ยวข้ามมาได้ ให้โจหยินคุมกองทัพใหญ่ตั้งมั่นอยู่ตำบลกัวต่อโจโฉก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋ แล้วแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงเล่าต้าย อองต๋งให้เร่งยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วจงได้
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งอยู่ในเมืองชีจิ๋ว ครั้นรู้ว่ากองทัพมาตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณแปดร้อยเส้น ก็ยังไม่แจ้งว่าทหารโจโฉผู้ใดยกมาเป็นแม่ทัพ เล่าปี่ก็มิได้ยกออกรบพุ่ง เกณฑ์ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง แล้วคอยข่าวอ้วนเสี้ยวซึ่งยกมารบโจโฉนั้นจะชนะหรือแพ้ประการใดก็ยังไม่แจ้ง
ฝ่ายม้าใช้จึงเอาหนังสือของโจโฉไปให้แก่เล่าต้าย อองต๋ง ณ ค่าย เล่าต้าย อองต๋งแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษากันว่าผู้ใดจะยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วก่อน เล่าต้ายจึงว่าแก่อองต๋งว่า มหาอุปราชให้เราเป็นแม่ทัพมา ท่านจงยกเข้าตีเมืองก่อนเรา อองต๋งจึงตอบว่า เมื่อมหาอุปราชให้ยกมานั้น จะได้สั่งจำเพาะให้แต่ท่านเป็นแม่ทัพผู้เดียวหามิได้ สั่งให้เรากับท่านคุมทหารห้าหมื่นมา ซึ่งท่านจะตั้งตัวเป็นแม่ทัพผู้เดียวนั้นเราไม่ยอม เล่าต้ายจึงตอบว่า ท่านกับเราปรึกษาไม่ตกลงกัน เราเขียนอักษรสองตัว ตัวหนึ่งเขียวว่าก่อน ตัวหนึ่งเขียนว่าหลัง แล้วจะเสี่ยงทายกัน ถ้าผู้ใดได้อักษรตัวก่อน จึงให้ยกเข้าตีเมืองก่อน อองต๋งเห็นชอบด้วย จึงเขียนอักษรเสี่ยงกันตามว่า อองต๋งเสี่ยงได้อักษรตัวก่อน ก็แบ่งทหารออกกึ่งหนึ่งยกเข้าไปจะตีเอาเมืองชีจิ๋ว
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเห็นกองทัพยกมาแต่ไกล แล้วเห็นธงสำหรับโจโฉ ก็สำคัญว่าโจโฉยกมาเอง ขณะนั้นม้าใช้สอดแนมมาบอกแก่เล่าปี่ว่า กองทัพอ้วนเสี้ยวนั้นปรึกษามิตกลงกัน ตั้งรอกันอยู่มิได้ออกรบพุ่งโจโฉ อนึ่งกองทัพโจโฉนั้นจะได้เห็นธงสำหรับโจโฉปักอยู่หามิได้ ครั้ข้าพเจ้ากลับมาพบกองทัพยกมาใกล้เมืองนี้ เห็นธงสำหรับโจโฉปักอยู่ แต่ตัวโจโฉจะอยู่ข้างกองโน้นหรือ หรือจะมาข้างนี้ข้าพเจ้าไม่แจ้ง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับตันเต๋งตามคำม้าใช้มาบอกทุกประการ แล้วว่าเรามีความสงสัย ไม่รู้ว่าโจโฉจะอยู่ข้างกองทัพไหน ตันเต๋งจึงว่าอันกลอุบายโจโฉนั้นมีหลายประการมิให้ผู้ใดรู้ถึง ซึ่งกองทัพตั้งรอกันอยู่กับอ้วนเสี้ยว แลมิได้มีธงสำหรับโจโฉนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวโจโฉอยู่ในกองทัพนั้นเป็นมั่นคง ซึ่งกองทัพยกมาข้างเมืองเรานี้ ทหารก็น้อยแต่มีธงสำหรับโจโฉมาด้วย ซึ่งโจโฉคิดทำการทั้งนี้ หวังจะให้ท่านเกรงว่าตัวโจโฉยกมาในกองทัพนี้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามกวนอู เตียวหุยว่า น้องเราทั้งสองผู้ใดจะอาสาออกไปทำการให้รู้เหตุว่า กองทัพนี้โจโฉมาด้วยหรือไม่ เตียวหุยจึงรับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปทำการดูให้รู้เหตุ ถ้าพบโจโฉแล้วข้าพเจ้าจะจับตัวมาให้ได้ เล่าปี่จึงว่าแก่เตียวหุยว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความนัก แล้วน้ำใจดื้อดึงห้าวหาญซึ่งจะออกไปนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไป เล่าปี่จึงว่าถ้ากวนอูออกไปแล้วเราพอจะไว้ใจได้ กวนอูจึงลาเล่าปี่ แล้วคุมทหารขี่ม้าสามพันยกออกไปขณะนั้นเป็นเทศกาลน้ำค้างลง ทหารทั้งปวงหนาวนัก กวนอูจึงอุตส่าห์พาพวกทหารเข้าไปถึงหน้าค่ายอองต๋ง กวนอูจึงชักม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องว่าผู้ใดซึ่งเป็นแม่ทัพจงเร่งออกมา เราจะสนทนาด้วย
อองต๋งได้ยินกวนอูร้องมาดังนั้น ก็ขี่ม้าออกยืนอยู่หน้าค่าย แล้วร้องตอบว่า มหาอุปราชยกมาถึงนี่แล้ว เหตุใดตัวจึงไม่เข้ามาคำนับ กวนอูจึงตอบว่าถ้ามหาอุปราชมาจริง จงเชิญให้ออกมา เราจะแจ้งเนื้อความแก่ท่าน อองต๋งจึงตอบว่าตัวเป็นแต่ผู้น้อย ควรหรือจะให้มหาอุปราชออกมาหา กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงขับม้ารำง้าวรุกเข้าไป อองต๋งก็ขับม้ารำทวนออกรบด้วยกวนอูได้ห้าเพลง กวนอูทำเป็นชักม้าถอยหนีมา อองต๋งมีใจกำเริบมิรู้กลกวนอู ก็ขับม้าไล่ตามไปถึงเนินเขา กวนอูนั้นรอป้องกันอยู่ ครั้นใกล้จึงแสร้งเอาง้าวฟันให้อองต๋งหลบ แล้วกวนอูก็รวบจับเอาตัวอองต๋งได้บนหลังม้า แลทหารอองต๋งก็แตกกระจัดกระจายไป กวนอูก็ให้ทหารมัดเอาตัวอองต๋งพาเข้าไปให้เล่าปี่ แล้วบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ
เล่าปี่ได้ฟังมีความยินดี แต่มิรู้จักอองต๋ง จึงถามว่าตัวเป็นขุนนางตำแหน่งใด เหตุใดตัวจึงแต่งกลอุบายทำเป็นโจโฉมาในทัพนี้ อองต๋งจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่ออองต๋ง เป็นที่ทหารโทของโจโฉ แต่ตัวโจโฉนั้นหามาไม่ ให้ข้าพเจ้ากับเล่าต้ายยกมา ความคิดข้าพเจ้าจะไดทำกลศึกมาเองหามิได้ ซึ่งเอาธงสำหรับโจโฉปักมาในกองทัพนี้ เพราะโจโฉเป็นนายบังคับให้ทำ ข้าพเจ้ากลัวอาญาจึงทำตามโจโฉ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เอาเสื้อผ้ามาให้อองต๋ง จึงแต่งโต๊ะเชิญให้อองต๋งกินแล้วให้ทหารเอาตัวอองต๋งไปคุมไว้ ถ้าจับเล่าต้ายได้เมื่อใดจึงจะได้คิดการต่อไป
กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าประมาณใจท่านเห็นว่ายังคิดเกรงโจโฉอยู่ข้าพเจ้าจึงไม่ฆ่าอองต๋งเสีย จับเป็นมาให้ท่าน เล่าปี่จึงตอบว่า ซึ่งเรามิให้เตียวหุยออกไปนั้นเพราะเราคิดว่า น้ำใจเตียวหุยดื้อดึงห้าวหาญอยู่ ถ้าจับแม่ทัพได้เห็นจะฆ่าเสีย ซึ่งเราได้อองต๋งไว้นี้ ถึงโจโฉจะว่าประการใดก็จะผ่อนผันแก้ไขโดยง่าย
เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอูไปจับตัวอองต๋งมาได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับตัวเล่าต้ายมาให้ได้ เล่าปี่จึงตอบว่าอันเล่าต้ายนั้นเป็นเจ้าเมืองกุ๊ยจิ๋วครั้งสิบแปดหัวเมืองยกไปกำจัดตั๋งโต๊ะนั้น เล่าต้ายก็ได้คุมทหารไปทำการด้วย ครั้งนี้โจโฉเห็นเล่าต้ายมีสติปัญญาจึงให้เป็นแม่ทัพยกมา ซึ่งเจ้าจะยกออกไปจับตัวเล่าต้ายนั้น พี่เห็นจะไม่ได้สมความคิด เตียวหุยจึงตอบว่า จะนับถืออะไรแก่ฝีมือเล่าต้าย ข้าพเจ้าจะจับเอามาให้ได้ เล่าปี่จึงว่าพี่เกรงอยู่ว่าเจ้าไปรบพุ่งจะทำอันตรายชีวิตเล่าต้ายเสีย จะไม่ได้ตัวเป็นมาเหมือนกวนอู เตียวหุยจึงว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ถ้าข้าพเจ้าฆ่าเล่าต้ายก็ดี แลจับตัวไม่ได้ก็ดี ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าเสียเถิด เล่าปี่ได้ฟังก็มีความยินดี จึงจัดทหารขี่ม้าสามพันให้เตียวหุย เตียวหุยก็ลาเล่าปี่แล้วคุมทหารสามพันยกไปจะจับตัวเล่าต้าย
ฝ่ายเล่าต้ายครั้นรู้ว่ากวนอูจับอองต๋งไปได้ บัดนี้เตียวหุยก็ยกออกมา เล่าต้ายกลัวเตียวหุยมิได้ออกรบพุ่ง ให้รักษาค่ายไว้เป็นมั่นคง เตียวหุยครั้นไม่เห็นเล่าต้ายยกมารบพุ่งก็ตั้งค่ายมั่นลงไว้ จึงคุมทหารเข้าไปถึงหน้าค่ายเล่าต้าย แล้วให้ทหารร้องด่าเล่าต้ายเป็นข้อหยาบช้า เล่าต้ายก็นิ่งเสียมิได้ยกออกมารบพุ่ง แต่ตั้งรอกันอยู่ถึงห้าวัน เตียวหุยคิดกลอุบายแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า กลางคืนวันนี้เวลาสามยามเศษเราจะยกไปปล้นค่ายเล่าต้าย ให้ทหารเตรียมตัวไว้ให้พร้อมกัน
เตียวหุยเสพย์สุราอยู่แล้วทำกิริยาเมา จึงพาลเอาผดทหารคนหนึ่งให้ตีประมาณสามสิบที แล้วว่าแก่ทหารซึ่งต้องตีนั้นว่า เวลาสองยามวันนี้ จะตัดศีรษะตัวเซ่นธงเสีย แล้วจึงจะยกเข้าปล้นค่ายเล่าต้าย เตียวหุยก็ให้มัดทหารนั้นไว้ ครั้นเวลายามเศษเตียวหุยจึงลอบสั่งคนสนิทให้ไปแก้มัดทหารนั้นเสีย ทหารซึ่งต้องตีนั้นมีใจเจ็บแค้นแลกลัวตาย ก็หลบหนีไป ณ ค่ายเล่าต้าย จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เล่าต้ายทุกประการ เล่าต้ายได้ฟังดังนั้น แล้วเห็นหลังทหารนั้นต้องตีสำคัญว่าจริง จึงเกณฑ์ทหารทั้งปวงออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายสองกอง ไว้แต่ค่ายเปล่ามิได้มีคน
ฝ่ายเตียวหุยครั้นรู้ว่าทหารซึ่งต้องตีนั้นหนีไป จึงคิดว่าดีร้ายมันจะหนีไปบอกเหตุทั้งปวงแก่เล่าต้าย เห็นเล่าต้ายจะทิ้งค่ายเสีย จะให้ทหารแยกกันซุ่มอยู่นอกค่าย กูจะคิดซ้อนกลจับเล่าต้ายให้จงได้ ครั้นเวลาสองยามเตียวหุยจึงเกณฑ์ทหารแยกกันไปซุ่มอยู่เป็นสองกองแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายเล่าต้ายก็ให้คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา ตัวเตียวหุยเป็นกองกลางคอยหนุน แล้วสั่งทหารสามสิคนเป็นกองหน้าเข้าไปปล้นจุดเพลิงเผาค่ายให้จงได้ ทหารสามสิบคนก็ยกเข้าปล้นค่ายจุดเพลิงไหม้ขึ้น
ฝ่ายทหารเล่าต้ายซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองกอง ครั้นเห็นดังนั้นก็ยกกระหนาบเข้ามา ทางทหารเตียวหุยซึ่งซุ่มอยู่ภายนอกแลเตียวหุยนั้น เห็นแสงเพลิงใหม้ขึ้นในค่ายเล่าต้าย ก็รีบยกตีกระหนาบเข้าไปเป็นสามด้าน ฝ่ายทหารเล่าต้ายเห็นทหารเตียวหุยตีกระหนาบหลังเข้ามาฆ่าฟันล้มตายบ้างแตกกระจัดกระจายไปบ้าง แต่ตัวเล่าต้ายควบม้าหนีไปพบเตียวหุยเข้า เตียวหุยก็รบกับเล่าต้ายได้ยกหนึ่ง เตียวหุยจับตัวเล่าต้ายได้ จึงให้ทหารมัดไว้ บรรดาทหารซึ่งแตกไปนั้นก็กลับเข้าด้วยเตียวหุยเป็นอันมาก เตียวหุยจึงให้ทหารรีบเข้าไปบอกเล่าปี่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่กวนอูว่า เตียวหุยเป็นคนใจเร็วดื้อดึง ครั้งนี้คิดเป็นกลอุบายจับตัวเล่าต้ายได้ ซึ่งเตียวหุยมีสติปัญญาขึ้นดังนี้ เห็นจะประกอบบุญเราขึ้น เราค่อยมีความสบายนัก
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่ก็พากวนอูออกไปรับถึงนอกเมือง เตียวหุยเห็นเล่าปี่ออกมาก็เข้าไปคำนับแล้วจึงว่า ที่ติเตียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนใจดื้อดึง บัดนี้ข้าพเจ้าคิดอ่านจับตัวเล่าต้ายได้ พี่ยังเห็นปัญญาข้าพเจ้าแล้วหรือ เล่าปี่จึงตอบว่าถ้าพี่ไม่ข่มเจ้าไว้เจ้าก็เลินเล่อใจ ที่ไหนจะจับตัวเล่าต้ายได้ เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ เล่าปี่จึงลงจากม้าเข้าแก้มัดเล่าต้ายแล้วจึงว่า ซึ่งน้องเราทำแก่ท่านนั้นเราขออภัยเสียเถิดอย่าถือโทษเลย แล้วเล่าปี่พาเล่าต้ายกลับเข้าไปในเมืองจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเอาตัวอองต๋งมากินโต๊ะกับเล่าต้าย
เล่าปี่จึงว่าแก่เล่าต้าย อองต๋งว่า เดิมเรายกมานี้จะได้คิดร้ายต่อมหาอุปราชนั้นหามิได้ เราคิดจะสนองคุณมหาอุปราชอยู่ทุกเวลามิได้ขาด แลกีเหมาเป็นคนหยาบช้า คิดจะทำร้ายเราให้ถึงสิ้นชีวิต เราจึงฆ่ากีเหมาเสีย มหาอุปราชมิได้แจ้งว่ากีเหมาคิดร้ายต่อเราก่อน จึงให้ท่านทั้งสองคุมทหารเป็นแม่ทัพมาจับเรา ธรรมดาเกิดมาก็ย่อมรักชีวิตอยู่เหมือนกันทุกคน เราจึงคิดรักษาตัวด้วยความจำเป็น ซึ่งกวนอู เตียวหุยทำแก่ท่านทั้งสองนั้น ท่านอย่าได้พยาบาทเลย บัดนี้เราจะให้ท่านทั้งสองกลับไปแจ้งข้อราชการแก่มหาอุปราช ท่านช่วยว่ากล่าวให้เห็นความจริงของเรา ไมตรีท่านทั้งสองจะได้มีต่อเราสืปไป
เล่าต้าย อองต๋งได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็มีความยินดีจึงตอบว่า ซึ่งท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้าคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะกลับไปแจ้งข้อราชการบอกความแก่มหาอุปราชว่า ท่านมีใจซื่อสัตย์สุจริตมิได้คิดประทุษร้ายแก่มหาอุปราช ซึ่งทำการทั้งนี้เพราะความจำเป็น ถ้ามหาอุปราชไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะเอาบุตรภรรยาไว้เป็นจำนำ แม้สืบไปเมื่อหน้า ท่านคิดร้ายประการใดก็ให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสีย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านรับธุระเราทั้งนี้เราขอบใจนัก แล้วจัดทหารซึ่งเตียวหุยได้มานั้นคืนให้แก่เล่าต้าย อองต๋ง แลเล่าต้าย อองต๋งก็ลาเล่าปี่ แล้วพาทหารทั้งปวงออกจากเมืองชีจิ๋วไปทางประมาณห้าร้อยเส้น
ขณะเมื่อเล่าปี่ว่าจะปล่อยเล่าต้าย อองต๋งไปนั้น เตียวหุยคิดแค้นคุมทหารลอบไปสกัดอยู่ กวนอูเห็นเตียวหุยยกไปก็มีความสงสัย จึงขึ้นม้าแลพาทหารสี่คนห้าคนสะกดร้อยตามเตียวหุยไป ฝ่ายเตียวหุยครั้นเห็นเล่าต้าย อองต๋งคุมทหารมา ก็ขึ้นม้ารำทวนออกไปขวางหน้าไว้ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วว่า มึงพูดจาล่อลวงพี่กูประการใด พี่กูจึงปล่อยมึงทั้งสองมา เล่าต้าย อองต๋งได้ยินเตียวหุยร้องตวาดดังนั้น ก็ตกใจกลัวตัวสั่นมิได้ตอบประการใด พอกวนอูตามมาเห็นเตียวหุยสกัดอยู่ดังนั้น จึงร้องว่าเตียวหุยอย่าวุ่นวาย พี่เราปล่อยให้เขาไปแล้ว เตียวหุยจึงว่าแม้ปล่อยอ้ายสองคนนี้ไป ดีร้ายจะกลับมาทำอันตรายแก่เราเป็นมั่นคง กวนอูจึงตอบว่าถ้าเขาไม่รู้จักคุณ จะกลับมาทำร้ายแก่เราอีก เราจึงค่อยฆ่าเสีย หาความนินทามิได้
เล่าต้าย อองต๋งได้ฟังดังนั้น จึงว่าครั้งนี้เล่าปี่มีคุณแก่เรานัก แม้ว่ามหาอุปราชให้เรายกมาอีกเราก็ไม่อาจมา ถึงมหาอุปราชจะฆ่าบุตรภรรยาเราเสียก็ตามเถิด ท่านทั้งสองจงปล่อยให้ไปโดยดี เตียวหุยจึงว่าอันศีรษะมึงทั้งสองนี้ กูละให้อยู่กับกายแล้ว ถึงมาตรว่ามึงจะไปยุยงโจโฉประการใด โจโฉยกมากูจะฆ่าฟันทหารทั้งปวงเสียมิให้เหลือไป เล่าต้าย อองต๋งได้ฟังดังนั้น ทั้งกลัวทั้งมีความยินดี ก็ขับม้าพาทหารรีบไป
ฝ่ายกวนอู เตียวหุยกลับมาเมืองชีจิ๋ว จึงว่ากับเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านปล่อยเล่าต้ายกับอองต๋งไป ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายท่านเป็นมั่นคงซุนเขียนได้ยินกวนอู เตียวหุยว่าดังนั้น จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งน้องท่านทั้งสองว่านั้นก็ชอบอยู่ ถ้าโจโฉยกมาท่านจะตั้งรับอยู่ในเมืองชีจิ๋วนี้เห็นจะเสียทีแก่โจโฉ ขอให้แบ่งทหารไปตั้งอยู่ ณ เมืองเสียพ่ายกองหนึ่ง เมืองแห้ฝือกองหนึ่ง จะได้ช่วยรบเป็นทัพกระหนาบ เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงให้กวนอูคุมทหารกำกับนางกำฮูหยิน นางบิฮูหยิน ซึ่งเป็นภรรยาเล่าปี่นั้นไปรักษาไว้ ณ เมืองแห้ฝือ ให้ซุนเขียนกับตันหยง บิต๊ก บิฮอง สี่คนนี้อยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว แล้วเล่าปี่กับเตียวหุยก็คุมทหารไปรักษาเมืองเสียวพ่าย
ฝ่ายเล่าต้าย อองต๋งไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงบอกแก่โจโฉตามซึ่งรบพุ่งกับกวนอู เตียวหุยนั้นทุกประการ แล้วว่าเล่าปี่มีใจสุจริตคิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ ซึ่งให้กวนอู เตียวหุยออกมารบด้วยข้าพเจ้านั้นเป็นธรรมดารักษาชีวิต บัดนี้เล่าปี่ปล่อยข้าพเจ้ามาให้แจ้งข้อราชการแก่ท่านโดยสุจริต
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า อ้ายทหารเดนตายเช่นนี้จะเลี้ยงไว้มิได้ แล้วสั่งบู๋ซูให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ขงหยงจึงห้ามโจโฉว่า อันฝีมือเล่าต้าย อองต๋ง ซึ่งจะทานฝีมือความคิดเล่าปี่นั้นไม่ได้ แลท่านจะได้ฆ่าเล่าต้าย อองต๋งเสีย ทหารทั้งปวงจะทำการสืบไปก็จะเสียใจ โจโฉเห็นชอบด้วยจึงสั่งบู๋ซูว่าอย่าให้ฆ่าเลย แต่ให้ถอดเสียจากนายทหาร เอาตัวไปไว้ใช้เป็นไพร่ แล้วโจโฉให้กะเกณฑ์ทหารจะยกไปรบเล่าปี่ ขงหยงจึงว่าซึ่งมหาอุปราชจะยกไปนั้นเป็นเทศกาลหนาว ทหารทั้งปวงจะได้ความลำบากนัก ขอให้แต่งทหารไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว เตียวสิ้วให้ขึ้นอยู่กับท่านก่อน ถึงจะยกไปทำการแห่งใดก็จะไม่เป็นกังวลหลัง อันเมืองชีจิ๋วนั้นเหมือนอยู่ในเงื้อมมือท่าน จะคิดเอาเมื่อใดก็ได้โดยง่าย
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งให้เล่าหัวซึ่งมีสติปัญญา ไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว เล่าหัวก็ลาโจโฉไปถึงเมืองเชงเอี๋ยง แล้วเข้าไปหากาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาเตียวสิ้ว เล่าหัวคำนับกาเซี่ยงแล้วจึงว่า ครั้งนี้โจโฉได้เป็นมหาอุปราช มีใจโอบอ้อมอารีบำรุงน้ำใจทแกล้วทหารทั้งปวงให้เป็นสุขกว้างขวาง บัดนี้ให้เรามาว่ากล่าวเตียวสิ้ว ซึ่งรบพุ่งกันมาแต่ก่อนนั้น อย่าให้มีพยาบาทกันเลย จงคิดประนอมกันทำนุบำรุงแผ่นดิน กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่า วันนี้จวนค่ำแล้ว พรุ่งนี้เราจึงจะพาท่านเข้าไปหาเตียวสิ้ว กาเซี่ยงก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าหัว
ครั้นเวลารุ่งเช้ากาเซี่ยงก็ให้เล่าหัวอยู่ ณ บ้านก่อน กาเซี่ยงจึงเข้าไปบอกเตียวสิ้วทุกประการ เตียวสิ้วยังมิได้ตอบประการใด พอทหารอ้วนเสี้ยวเอาหนังสือมาให้เตียวสิ้ว แล้วเตียวสิ้วรับมาอ่านดูกับกาเซี่ยง ในหนังสือนั้นเป็นใจความว่า อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วมาถึงเตียวสิ้วว่า โจโฉได้เป็นมหาอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน พระเจ้าเหี้ยนเต้กับขุนนางแลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เราจึงให้หนังสือไปเชิญเตียวสิ้วมาช่วยคิดราชการกำจัดโจโฉเสีย จะบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป กาเซี่ยงได้แจ้งในหนังสือนั้นจึงรับเอาหนังสือมาจากเตียวสิ้ว แล้วถามผู้ถือหนังสือว่า เมื่อเดือนสิบนั้นเราได้ยินกิตติศัพท์ว่าอ้วนเสี้ยวนายของตัวยกกองทัพไปรบกับโจโฉ ยังหาแพ้ชนะกันไม่หรือทหารอ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า นายข้าพเจ้ายกกองทัพไปถึงตำบลลิมหยงปลายแดนเมืองฮูโต๋ โจโฉก็ยกกองทัพมาตั้งค่ายไกลกันประมาณแปดร้อยเส้น พอเป็นเทศกาลหนาว อ้วนเสี้ยวให้ทหารตั้งรอกันอยู่กับทหารโจโฉ ตัวโจโฉกับอ้วนเสี้ยวต่างคนต่างยกกลับไปเมือง
กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงเอาหนังสือนั้นฉีกเสียแล้วว่า แต่อ้วนสุดผู้น้องนายของตัวนั้น ก็มิได้ปรกติปรองดองกันกับอ้วนเสี้ยวผู้พี่ บัดนี้จะมาเกลี้ยกล่อมผู้อื่นนอกเนื้อไปคิดการด้วย ก็ให้ขับผู้ถือหนังสือนั้นออกไปเสียจากที่เตียวสิ้วเห็นกาเซี่ยงทำดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเหตุใดท่านจึงทำหยาบช้า ฉีกหนังสือของอ้วนเสี้ยวเสียดังนี้ อ้วนเสี้ยวก็มีฝีมือ ทหารก็มีเป็นอันมาก ถ้าอ้วนเสี้ยวแจ้งไป เห็นจะยกกองทัพมาทำอันตรายเมืองเรา ท่านจะคิดแก้ไขประการใด
กาเซี่ยงจึงตอบว่า ถ้าท่านเกรงอยู่ดังนั้น เราจำจะเข้าทำการด้วยโจโฉ ถึงอ้วนเสี้ยวจะยกมาทำร้ายท่าน โจโฉก็จะได้ช่วย เตียวสิ้วจึงตอบว่า ทุกวันนี้โจโฉเป็นมหาอุปราชก็จริง แต่ทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วประการหนึ่งโจโฉก็ได้รบพุ่งกันมากับเราแต่ก่อน เห็นจะคิดพยาบาทเราอยู่ กาเซี่ยงจึงว่า ซึ่งจะกลัวโจโฉพยาบาทนั้นอย่าวิตกเลย ถ้าจะไปเข้าด้วยโจโฉ ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยสามประการ
ประการหนึ่งโจโฉได้เป็นมหาอุปราช แม้จะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็ยำเกรงทำตามเป็นอันมาก
ประการหนึ่งถึงโจโฉมีทหารน้อย แต่มีสติปัญญากว้างขวาง จะทำการสงครามแห่งใด ก็ย่อมมีชัยชนะมากกว่าแพ้ ซึ่งท่านคิดเกรงอ้วนเสี้ยงแลจะไปเข้ากับอ้วนเสี้ยวซึ่งมีทหารมากนั้น อุปมาเหมือนคนมีทรัพย์มาก ท่านจะเอาทรัพย์ไปให้เห็นอ้วนเสี้ยงจะไม่มีความยินดี อันโจโฉนั้นเหมือนคนไร้ทรัพย์ ท่านเอาทรัพย์ไปให้แต่น้อยก็มีความยินดีเป็นอันมาก
ประการหนึ่งโจโฉทำการครั้งนี้ มีใจโอบอ้อมอารีต่อทหารทั้งปวง ถึงผู้ใดผิดก็ทำตามผิด ผู้ใดชอบก็ปูนบำเหน็จโดยความชอบ แล้วมิได้มีพยาบาทแก่ผู้ใด คิดเอาราชการเป็นประมาณ ข้าพเจ้าเห็นชอบสามประการดังนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าให้ท่านไปเข้าด้วยโจโฉดีกว่าอ้วนเสี้ยว เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย
กาเซี่ยงจึงกลับออกไป ณ บ้าน แล้วบอกแก่เล่าหัวทุกประการ เล่าตัวได้ฟังดันนั้นก็มีความยินดี ก็เข้าไปกับกาเซี่ยง จึงคำนับเตียวสิ้วแล้วว่า ท่านอย่าแคลงใจมหาอุปราชเลย ถ้ามีใจพยาบาทอยู่แล้วก็จะยกกองทัพมารบท่านเอาชัยชนะให้จงได้ นี่สิ้นความพยาบาทแล้ว จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญให้ท่านช่วยคิดการทำนุบำรุงแผ่นดิน เตียวสิ้วได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารแล้วพาเล่าหัว กาเซี่ยงยกไปเมืองฮูโต๋ เล่าหัวจึงนำเตียวสิ้ว กาเซี่ยงเข้าไปหาโจโฉ เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงคำนับโจโฉแล้วก็คุกเข่าอยู่แต่เบื้องต่ำ
โจโฉเห็นเตี้ยวสิ้ว กาเซี่ยงมาก็มีความยินดี จึงลงไปจูงมือเตียวสิ้วขึ้นมานั่งที่สมควรแล้วว่า ก่อนนั้นเราได้ประมาทมีความผิดต่อท่านนั้น ท่านจงอดโทษเสีย อย่ามีความพยาบาทเราเลย โจโฉจึงตั้งเตียวสิ้วเป็นที่เอียงปูจงกุ๋น แปลเป็นภาษาไทยว่าเป็นนายทหารผู้ใหญ่ ให้กาเซี่ยงเป็นที่กิมจิมง่อ แปลภาษาไทยว่าเป็นที่ปรึกษา แล้วโจโฉจึงว่าแก่เตียวสิ้ว กาเซี่ยงว่า ให้แต่งหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว กาเซี่ยงจึงว่า เล่าเปียวนั้นมักคบเพื่อนซึ่งมีสติปัญญาถ้าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น จงจัดหาผู้ซึ่งมีสติปัญญาจึงจะได้


Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น