วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"สามก๊ก" ตอนที่ 19

เรียบเรียงโดย Thepoetry4u.

ขอบคุณเนื้อหาจาก "หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)"


ฝ่ายเล่าปี่รับคำตังสินแล้ว ครั้นจะคิดทำการสิ่งใดก็กลัวโจโฉจะไม่ไว้ใจ จึงแกล้งทำการถ่อมตัว เอาไม้มาทำเป็นรั้ว ทำสวนปลูกผักเองทุกวันมิได้ขาด กวนอู เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า การซึ่งจะคิดเหตุใดจึงไม่คิด แลพี่มาทำการเป็นคนหาตระกูลมิได้ดังนี้จะประสงค์สิ่งใด เล่าปี่จึงตอบว่า เจ้าทั้งสองไม่รู้ความคิดพี่ อย่าว่าให้วุ่นวายไปเลย กวนอู เตียวหุยก็นิ่งอยู่

อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ไปบอกแก่โจโฉว่า เล่าปี่สร้างสวนปลูกผักเองทุกวัน โจโฉจึงให้เคาทู เตียวเลี้ยวกับทหารยี่สอบคนไปเชิญเล่าปี่ เคาทู เตียวเลี้ยวเข้าไปในบ้านเล่าปี่ มิได้เห็นกวนอู เตียวหุย เห็นแต่เล่าปี่ปลูกผักอยู่ในสวน เคาทู เตียวเลี้ยวก็เข้าไปหาเล่าปี่ แล้วบอกว่ามหาอุปราชให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป เล่าปี่ตกใจจึงถามว่า มหาอุปราชให้มาหาเราจะว่าเนื้อความสิ่งใด  เคาทูจึงว่ามหาอุปราชจะมีธุระสิ่งใดข้าพเจ้าเจ้ามิได้แจ้ง แต่ให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป เล่าปี่ขัดมิได้ก็มากับเคาทู เตียวเลี้ยว โจโฉเห็นเล่าปี่มาจึงสัพยอกถามว่า ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ทำการใหญ่หลวงนัก เล่าปี่ได้ยินโจโฉว่าดังนั้น สังเกตว่าโจโฉแจ้งเนื้อความทั้งปวงก็ตกใจนิ่งอยู่ไม่รู้ที่จะตอบประการใด โจโฉจึงจูงมือเล่าปี่พาไปถึงหลังสวนแล้วว่า ท่านอยู่บ้านคิดอ่านทำสวนปลูกผักยังเหมือนสวนของเรานี้หรือ เล่าปี่เห็นว่าโจโฉไม่มีความสงสัยก็ค่อยคลายใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้ามาพึ่งบุญท่านอยู่ มิได้มีการสิ่งใด ข้าพเจ้าจึงได้ทำสวนปลูกผักแต่พอให้สบายอารมณ์ จะสนุกเหมือนสวนของท่านหรือ
โจโฉนั่งพูดอยู่กับเล่าปี่แลเห็นต้นมะเฟือง โจโฉจึงชี้ให้เล่าปี่ดูแล้วว่า เมื่อครั้งเราไปรบกับเตียวสิ้ว ทหารทั้งปวงอยากน้ำนัก เราจึงคิดกลอุบายลวงว่าให้อุตส่าห์เดินไปอีกหน่อยหนึ่งเถิด จะพบดงมะเฟืองมีผลสุกเป็นอันมาก ทหารทั้งปวงได้ยินออกชื่อของเปรี้ยว ก็ให้บังเกิดเขฬะมีมาทุกคน ซึ่งอยากน้ำนั้นก็ค่อยคลายลง เล่าปี่จึงสรรเสริญโจโฉว่าความคิดท่านดีนักหาผู้ใดเสมอมิได้ โจโฉจึงเชิญเล่าปี่ให้นั่งบนที่นั่งเย็นที่กลางสวน แล้วชวนกินโต๊ะเสพย์สุรากับมะเฟือง
ขณะเมื่อโจโฉกับเล่าปี่เสพย์สุราอยู่ด้วยกันนั้น พอบังเกิดพายุหนักมืดฟ้ามัวฝน ทหารแลคนทั้งปวงร้องว่า มังกรสำแดงฤทธิ์บนอากาศจึงเกิดพายุหนักดังนี้โจโฉกับเล่าปี่ได้ยินคนทั้งปวงร้องก็เงยหน้าขึ้นดู เห็นเมฆมืดมัวไปทั้งอากาศ เล่าปี่กับโจโฉก็รู้ว่ามังกรสำแดงฤทธิ์ โจโฉจะใคร่ดูปัญญาเล่าปี่จึงแกล้งถามว่าท่านแจ้งหรือไม่ คือมังกรสำแดงฤทธิ์จึงเกิดลมเมฆมืดดังนี้ แลมังกรนั้นมีฤทธิ์ประการใด
เล่าปี่ก็แกล้งตอบว่า มังกรสำแดงฤทธิ์ประการใดนั้นข้าพเจ้ามิได้แจ้ง โจโฉจึงว่าอันมังกรสำแดงฤทธิ์นั้น จะทำให้ใหญ่แลน้อยเท่าใดก็ได้ถ้าจะขึ้นไปบนอากาศกระทำฤทธิ์ต่างๆ แล้ว อากาศนั้งยังแคบอยู่ ไม่เสมอด้วยฤทธิ์ แม้จะลงในท้องมหาสมุทร กระทำฤทธิ์ให้กายนั้นน้อยเข้าแอบอยู่ในเงื้อมชะง่อนเขาก็ได้อันเทศกาลนี้เป็นฤดูฝน มังกรจึงสำแดงฤทธิ์ฉะนี้ อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการสิ่งใดคะแนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำได้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำแต่น้อย ทุกวันนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์ฉะนี้บ้าง ท่านจงบรรยายให้แจ้ง
เล่าปี่แกล้งตอบว่า ข้าพเจ้าหาสติปัญญามิได้ ซึ่งได้เป็นขุนนางมีคนนับถือนี้ ก็เพราะบุญของมหาอุปราชช่วยทูลเสนอให้ ข้าพเจ้าจึงมีความสุขมา ซึ่งผู้ใดจะมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์นั้น ปัญญาข้าพเจ้าคิดไปไม่ถึง โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ความคิดท่านก็มีอยู่ เหตุใดแกล้งเจรจาถ่อมตัวนัก ถึงมาตรว่าจะไม่มีปัญญาคิดไปไม่เห็นตลอด ก็ย่อมได้ยินคำเลื่องลือ แลรู้จักชื่อว่าผู้ใดมีสติปัญญาบ้าง เล่าปี่แกล้งว่า ข้าพเจ้ารำลึกได้ว่าทุกวันนี้อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญากล้าแข็ง ทหารใหญ่น้อยก็มีฝีมือเป็นอันมาก ทั้งเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ โจโฉได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า อ้วนสุดนั้น อุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ แต่ความคิดอ้วนสุดนี้ เราจะไปมัดเอามาก็จะได้โดยง่าย
เล่าปี่ว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วเป็นพี่อ้วนสุดนั้น ก็เป็นเชื้อขุนนางต่อๆ มาถึงสามชั่วคนแล้ว บัดนี้อ้วนเสี้ยวก็ซ่องสุมผู้คนไว้เป็นอันมาก ทั้งมีที่ปรึกษาหลายคน ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่า อ้วนเสี้ยวมีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งอยู่ โจโฉจึงว่า อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์น้ำใจก็ขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ เล่าปี่จึงว่าเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วมีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือง น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงทั้งปวง แล้วก็มีทหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่า มีสติปัญญาจึงทำการเกลี้ยกล่อมได้ทั้งนี้
โจโฉจึงตอบว่า เล่าเปียวนั้นมีพวกเพื่อนแลทหารมากก็จริง แต่ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวาน จะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ เล่าปี่จึงว่าซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น กำดัดหนุ่มอยู่มีกำลังกล้าแข็ง ทั้งมีทหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่ามีความคิดแลฝีมืออยู่คนหนึ่ง โจโฉจึงตอบว่าซุนเซ็กนั้นฝีมือเป็นประมาณ หากว่าได้ทหารของซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาไว้จึงทำกำเริบได้ ซึ่งจะนับถือว่ามีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย เล่าปี่ว่าหัวเมืองฝ่ายตะวันตกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวนมีสติปัญญา แล้วเป็นเชื้อพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉจึงตอบว่า เล่าเจี๋ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นมิได้ เล่าปี่จึงถามว่า เตียวสิ้วหนึ่ง เตียวฬ่อหนึ่ง หันซุยหนึ่ง สามคนนี้ท่านเห็นเป็นประการใดเล่า โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตบมือหัวเราะแล้วตอบว่า อันเตียวสิ้ว เตียวฬ่อ หันซุยนั้นมีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็ไม่ได้ ท่านเอามาว่าไยให้เสียปาก อันผู้มีสติปัญญานั้นถ้าจะคิดสิ่งใด ก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแล้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนักที่เบาที่เสียที่ได้ ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง เล่าปี่ได้ยินดังนั้นจึงแกล้งตอบว่า ทุกวันนี้จะหาผู้มีสติปัญญาเหมือนมหาอุปราชว่านั้นขัดสนนัก โจโฉจึงว่า ทุกวันนี้เราเล็งดูผู้ซึ่งมีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่แต่ท่านกับเราสองคนเท่านั้น เล่าปี่ได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็สะดุ้งใจ ตะเกียบพลัดตกจากมือ พอได้ยินเสียงฟ้าร้อง เล่าปี่ก็ทำตกใจเอามือปิดหูไว้ โจโฉเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า เกิดมาเป็นชายเหตุใดจึงกลัวเสียงฟ้า เล่าปี่จึงว่าโบราณท่านว่าไว้ ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังตัวจงหนัก โจโฉมิได้รู้กลก็สิ้นสงสัย จึงนึกว่าเล่าปี่นี้ขลาดนัก จะคิดการใหญ่ไปมิได้ แต่นั้นมาโจโฉมิได้คิดแคลงระแวงเล่าปี่
ฝ่ายกวนอู เตียวหุยซึ่งไปหัดเกาทัณฑ์นั้น กลับมามิได้เห็นเล่าปี่ จึงถามคนใช้ว่าพี่เราไปไหน คนใช้บอกว่าโจโฉให้เชิญไป กวนอู เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ทิ้งเกาทัณฑ์เสียจับเอากระบี่รีบตามเล่าปี่ไป ครั้นถึงประตูบ้านโจโฉนายประตูห้ามมิให้เข้าไป กวนอู เตียวหุยก็มิฟัง เดินเข้าไปในบ้านโจโฉ แจ้งว่าโจโฉพาเล่าปี่ไปอยู่ในสวน กวนอู เตียวหุยก็ตามไป โจโฉนั่งเสพย์สุราอยู่กับเล่า เห็นกวนอู เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่ามหาอุปราชหาเล่าปี่มากินโต๊ะข้าพเจ้าจะมารำกระบี่ให้ท่านดู
โจโฉจึงว่า ท่านมาทำดังนี้เหมือนจดหมายเหตุครั้งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องคิดร้ายแก่พระเจ้าเล่าปัง พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเชิญพระเจ้าเล่าปังมาเสวยโต๊ะ แล้วคิดกลอุบายให้หันจวงออกรำกระบี่จะทำร้ายพระเจ้าเล่าปัง ห้วนกุ๋ยเขยน้อยพระเจ้าเล่าปังเห็นหันจวงรำกระบี่ใกล้เข้ามาไม่ไว้ใจ จึงว่าอันเพลงกระบี่นั้นจะรำแต่ผู้เดียวดูไม่งาม เราจะออกรำด้วย แล้วห้วนกุ๋ยก็ถอดกระบี่ออกลุกขึ้นรำด้วย แลหันจวงเงื้อกระบี่ขึ้นจะฟันพระเจ้าเล่าปัง ห้วนกุ๋ยก็รับกระบี่ไว้ พระเจ้าเล่าปังจึงไม่มีอันตราย ตัวเราบัดนี้จะได้คิดร้ายต่อเล่าปี่เหมือนพระเจ้าฌ้อปาอ๋องคิดจะให้ทำร้ายต่อพระเจ้าเล่าปังหามิได้ ซึ่งท่านจะมาทำดังนี้ไม่ควร
กวนอู เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าจะคิดทำฉะนั้นหามิได้ แม้ท่านแคลงอยู่แล้วข้าพเจ้าก็ไม่รำ โจโฉจึงให้คนใช้รินสุราให้กวนอู เตียวหุยกิน ครั้นเวลาเย็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็คำนับลาโจโฉพากันกลับมาที่อยู่ กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่าข้าพเจ้ากลับมารู้ว่าโจโฉให้หาท่านไป ข้าพเจ้าก็ตกใจคิดแคลงโจโฉ จึงพากันรีบตามไป เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความซึ่งโยโฉพาไปเที่ยวในสวน แลให้เสพย์สุรากับมะเฟืองนั้นให้กวนอู เตียวหุยฟัง กวนอูจึงว่าซึ่งโจโฉทำดังนี้พี่จะเห็นประการใด เล่าปี่จึงว่า ซึ่งเราคิดอ่านทำสวนปลูกผักประสงค์จะให้โจโฉสิ้นสงสัย ว่าเราหาความคิดไม่ ครั้นโจโฉชวนกินโต๊ะพูดจาสรรเสริญว่าพี่มีความคิด พอเสียงฟ้าร้องพี่ทำตกใจทิ้งตะเกียบเสียแล้วเอามือปิดหูไว้ โจโฉก็สิ้นสงสัย กวนอู เตียวหุยจึงว่าความคิดพี่ทำนี้ดีนัก
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉให้เชิญเล่าปี่มากินโต๊ะอยู่ พอหมันทองซึ่งโจโฉให้ไปฟังราชการอ้วนเสี้ยวนั้น เอาเนื้อความบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้กองซุนจ้านแพ้อ้วนเสี้ยวแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามหมันทองว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวชนะกองซุนจ้านนั้นด้วยเหตุใด หมันทองจึงบอกว่า อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้านแลกองซุนจ้านยกออกสู้รบเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวเป็นหลายครั้ง กองซุนจ้านจึงให้ไปปลูกหอคอยสูงยี่สิบวา แล้วกวาดข้าวปลาเข้าไว้ในเมืองเป็นอันมาก เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง แลหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่กองซุนจ้านบอกหนังสือไปถึงกองซุนจ้านว่า อ้วนเสี้ยวคุมทหารมาตีบ้านเล็กเมืองน้อยแตกระส่ำระสายเป็นหลายตำบล ขอให้ยกกองทัพมาช่วย กองซุนจ้านจึงตอบว่า ทหารหัวเมืองทั้งปวงมิได้เป็นใจรบพุ่ง คอยแต่จะให้ยกไปช่วย แลหัวเมืองทั้งปวงแจ้งในหนังสือดังนั้น ต่างคนต่างก็น้อยใจ ไปเข้าเกลี้ยกล่อมอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก
กองซุนจ้านรู้ดังนั้น จึงแต่งหนังสือขึ้นมาจะให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ขอกองทัพไปช่วย ทหารอ้วนเสี้ยวจับผู้ถือหนังสือได้ แล้วกองซุนจ้านให้คนถือหนังสือไปถึงเตียวเอี๋ยนให้ยกกองทัพมาช่วย ถ้ามาถึงแล้วเมื่อใดให้จุดเพลิงขึ้นเป็นสำคัญ กองซุนจ้านจะคุมทหารตีกระหนาบออกมา ทหารอ้วนเสี้ยวก็จับผู้ถือหนังสือได้อีก อ้วนเสี้ยวจึงแต่งทหารซุ่มอยู่เป็นสองกอง ทหารกองกลางนั้นทำเป็นจะทลายกำแพงเข้าไป อ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารจุดเพลิงไกลค่ายประมาณสามสิบเส้น ฝ่ายกองซุนจ้านจึงเปิดประตูเมือง คุมทหารตีกระหนาบออกมา ทหารกองกลางอ้วนเสี้ยวนั้นถอยหนี แล้วจุดประทัดขึ้นเป็นสำคัญ แลกองทัพซุ่มอยู่ทั้งสองข้างนั้นจึงคุมทหารตีกระหนาบ ฆ่าฟันทหารกองซุนจ้านล้มตายเป็นอันมาก กองซุนจ้านนั้นหนีกลับเข้าเมืองได้ อ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารขุดอุโมงค์เข้าไปทะลุขึ้นในเมืองแล้วให้จุดเพลิงเผาเมืองขึ้น กองซุนจ้านเห็นจวนตัวเข้าดังนั้นก็ฆ่าบุตรภรรยาเสียสิ้น ตัวนั้นเชือดคอตาย แลบัดนี้อ้วนเสี้ยวได้ทหารกองซุนจ้านไว้เป็นอันมาก
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความสงสารกองซุนจ้าน ด้วยมีคุณได้ทูลความชอบพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน แล้วคิดถึงจูล่ง ด้วนมิรู้ว่าเป็นหรือตาย โจโฉจึงถามหมันทองว่า อ้วนเสี้ยวได้เมืองปักเป๋งแล้ว กิตติศัพท์จะคิดประการใดบ้าง หมันทองจึงบอกโจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่า อ้วนสุดอยู่เมืองห้วยหนำ ตั้งตัวเป็นเจ้าทำหยาบช้าข่มเหงอาณาประชาราษฎรทั้งปวงแตกตื่นหนีไปเป็นอันมาก อ้วนสุดให้ทหารไปบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะส่งตราหยกให้แก่อ้วนเสี้ยว ฝ่ายอ้วนเสี้ยวไม่เชื่อน้องชาย จึงให้อ้วนสุดเอาตราหยกนั้นมาให้ก่อน บัดนี้พาครอบครัวอพยพออกจากเมืองห้วยหนำ จะเอาตราหยกไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว ถ้าอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดถึงกันแล้วก็จะมีกำลังมากขึ้น ซึ่งจะกำจัดเสียนั้นเห็นจะขัดสนนัก ขอท่านเร่งคิดอ่านอย่าให้สองคนพี่น้องเข้าถึงกันได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด
เล่าปี่จึงคิดแต่ในใจว่า ครั้งนี้ได้ทีอยู่แล้ว จำจะคิดผ่อนผันให้พ้นเงื่อมมือโจโฉเสียก่อน จึงจะคิดการต่อไป เล่าปี่ก็ลุกขึ้นคำนับโจโฉแล้วว่า บัดนี้อ้วนสุดพาครอบครัวอพยพจะไปหาอ้วนเสี้ยว เห็นอ้วนสุดจะยกมาทางเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะขอทหารอาสายกไปสกัดตี เห็นจะจับอ้วนสุดได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก แล้วว่าเวลาพรุ่งนี้เราจะเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้าให้ทราบก่อน เล่าปี่ก็ลาโจโฉกลับไปที่อยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉกับเล่าปี่ก็เข้าไปเฝ้า โจโฉจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บัดนี้อ้วนสุดจะยกไปหาอ้วนเสี้ยว ถ้าสองคนนี้เข้าถึงกันก็จะคิดการใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าจะขอให้เล่าปี่คุมทหารห้าหมื่น ยกไปสกัดตีอ้วนสุดทางเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉถวายบังคมลาออกมาจัดทหารห้าหมื่นให้แก่เล่าปี่
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นโจโฉแลขุนนางทั้งปวงออกไปก่อน ยังแต่เล่าปี่ จึงทรงพระกันแสงแล้วตรัสแก่เล่าปี่ว่า นอกนั้นมิได้เห็นผู้ใด เห็นแต่ท่านผู้เดียวคิดไว้ว่าจะได้พึ่งสืบไป บัดนี้จะไปทัพเสียแล้ว เราจะทุกข์ใจอยู่ท่าท่านกว่าจะกลับมา เล่าปี่ก็กราบถวายบังคมลาออกมาหาโจโฉ โจโฉก็มอบทหารห้าหมื่นให้เล่าปี่ จึงให้จูเหลง ล่อเจียวสองคนกำกับเล่าปี่ไปด้วย เล่าปี่ก็ลาโจโฉมาจัดเสบียงอาหารแล้วพากวนอู เตียวหุยกับทหารทั้งปวงรีบออกจากเมืองฮูโต๋ ฝ่ายตังสินรู้ว่าเล่าปี่ยกกองทัพออกจากเมืองก็รีบไปสกัดเล่าปี่อยู่ ท่ำประหนึ่งว่าจะส่งกองทัพ แล้วตังสินก็ค่อยกระซิบกับเล่าปี่ว่า การซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สั่งไว้ เราได้ร่วมคิดกันนั้นท่านอย่าลืมเสีย เล่าปี่ตอบว่าความลับนั้นข้าพเจ้ามิได้ลืม ตัวท่านเป็นผู้ใหญ่อยู่ภายหลัง จงคิดอ่านปกปิดความอย่าให้ฟุ้งซ่าน ถ้าข้าพเจ้าไปได้ท่วงทีแล้วจะให้มีหนังสือลับมา แล้วเล่าปี่ก็ลาตังสินรีบยกกองทัพไปทั้งกลางวันกลางคืน
กวนอู เตียวหุยถึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านไปทัพทุกครั้งมิได้รีบรัดเดินเหมือนครั้งนี้ ซึ่งท่านเร่งเดินทัพทั้งกลางวันกลางคืนนั้นด้วยเหตุสิ่งใด เล่าปี่จึงตอบกวนอู เตียวหุยว่า ตัวเรามาอยู่ในเงื้อมมือโจโฉนี้ อุปมาเหมือนนกอยู่ในกรงปลาอยู่ในข้อง บัดนี้เขาปล่อยออกจากกรงแลข้องแล้วก็ยินดีนักจะรีบไปที่อยู่ แล้วเล่าปี่ก็ให้กวนอู เตียวหุยเร่งทหารทั้งปวงรีบยกไป
ฝ่ายเทียหยกกับกุยแก ซึ่งโจโฉให้ไปเร่งเสบียง ณ หัวเมืองทั้งปวง ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไปดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบกลับเข้ามาถึงเมืองฮูโต๋เทียหยกกับกุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า เหตุใดท่านจึงให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไป โจโฉจึงตอบว่า บัดนี้อ้วนสุดจะยกไปเข้าด้วยกับอ้วนเสี้ยว เราจึงให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพคุมทหารไปสกัดตีอ้วนสุดทางเมืองกิจิ๋ว เทียหยกจึงว่าครั้งเล่าปี่หนีลิโป้มาหาท่าน ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ข้าพเจ้าได้ว่าให้มหาอุปราชฆ่าเล่าปี่เสีย ท่านมิได้ทำตาม แล้วก็ให้เล่าปี่ไปเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว จนได้กลับไปอยู่เมืองเสียวพ่าย แล้วเล่าปี่แตกลิโป้มาพึ่งอีก ซึ่งท่านไว้ใจให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไปครั้งนี้ อุปมาเหมือนปล่อยเสียเข้าป่า แลปล่อยจระเข้ลงในแม่น้ำ สืบไปเมื่อหน้าเล่าปี่ก็จะมีกำลังขึ้น เห็นท่านจะปราบปรามได้นั้นขัดสนแล้ว
กุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านมิได้ฆ่าเล่าปี่เสีย เอาไว้ใช้สอยนั้นก็ควรอยู่ บัดนี้ให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพไปนั้นไม่ชอบ อันโบราณกล่าวไว้ว่าถ้าผู้ใดเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ครั้งหนึ่ง ก็มีน้ำใจกว้างขวางคิดการกำเริบได้ถึงพันครั้ง ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่มีกำลังขึ้นจะเอาใจออกหากท่าน ภายหน้าไปท่านจะได้ความเดือดร้อนเพราะเล่าปี่เป็นมั่นคง ให้ท่านเร่งคิดจงควร โจโฉได้ฟังเทียหยกกับกุยแกว่าดังนั้นก็สะดุ้งใจ จึงให้เคาทูคุมทหารห้าร้อยไปหาเล่าปี่ให้ยกกองทัพกลับมา เคาทูคุมทหารห้าร้อยขี่ม้าครบกันรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน จะใกล้ถึงกองทัพเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่เมื่อยกกองทัพไปนั้น เหลียวหลังมาเห็นผลคลีฟุ้งตลด แล้วได้ยินเสียงเท้าม้าแลโกลนกระทบกันอึงอื้อมา จึงว่าแก่กวนอู เตียวหุยว่า ซึ่งเสียงอื้ออึงมานั้นชะรอยโจโฉให้กองทัพมาตามจะให้เรากลับไป เล่าปี่จึงหยุดทัพอยู่ แล้วให้กวนอู เตียวหุยคุมทหารถืออาวุธยืนอยู่สองข้างทาง คอยระวังป้องกันอันตราย
ฝ่ายเคาทูครั้นมาถึงเห็นทหารเล่าปี่เตรียวตัวอยู่ดังนั้น จึงลงจากม้าเดินไปกลางทหารแต่ผู้เดียวแล้วว่า บัดนี้มหาอุปราชให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านยกกองทัพกลับเข้าเมืองฮูโต๋ จะได้สั่งความแก่ท่านอีก เล่าปี่จึงตอบเคาทูว่า เมื่อมหาอุปราชพาเราเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นแม่ทัพยกไปสกัดตีอ้วนสุด พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ เราก็ได้กราบทูลถวายบังคมลา ทั้งมหาอุปราชก็จัดแจงทหารให้เรา แล้วสั่งข้อราชการแก่เราทุกประการ เราจึงยกกองทัพมาตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านจงเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่มหาอุปราชก่อนเถิด ถ้าเมื่อใดเราทำสงครามสำเร็จแล้ว จึงจะยกกองทัพกลับเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้แลแจ้งข้อราชการแก่มหาอุปราช
เคาทูได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นจึงคิดว่า เมื่อโจโฉใช้เราออกมานั้นจะได้สั่งว่า ถ้าเล่าปี่มิกลับไปให้เราหักหาญจับเอาตัวเล่าปี่เข้าไปให้ได้ก็หาไม่ ซึ่งเล่าปี่ว่าทั้งนี้ก็ชอบตามข้อรับสั่งอยู่ จำเราจะกลับเข้าไปแจ้งเนื้อความแก่โจโฉ ถ้าโจโฉจะให้ทำประการใดเราจึงจะรีบมาทำตามต่อภายหลัง แล้วเคาทูก็ลาเล่าปี่พาทหารทั้งปวงรีบกลับมาบอกแก่โจโฉตามคำเล่าปี่ว่าทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดวิตกอยู่เทียหยกกับกุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านให้ไปหาเล่าปี่แลเล่าปี่มิมานั้น ท่านเห็นประจักษ์เหมือนคำข้าพเจ้าว่าแล้วหรือ โจโฉจึงตอบว่า เราได้ออกปากให้เล่าปี่ไปแล้ว ถ้าจะขืนให้กลับมาก็จะได้ แต่จะเห็นว่าเราเจรจาเป็นสองคำไปถึงมาตรเล่าปี่จะมีใจกำเริบคิดร้ายต่อเรา เราก็จะกลัวอะไรกับฝีมือเล่าปี่เพียงนี้ แล้วเราก็ได้แต่งให้จูเหลงกับล่อเจียวกำกับไปด้วย ถ้าเล่าปี่คิดเอาใจออกหากเราดังนั้น เห็นจูเหลงกับล่อเจียวจะให้มีหนังสือลับมาแจ้งเนื้อความแก่เราเป็นมั่นคง
ฝ่ายม้าเท้งซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสเหลียงมาอยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ได้ร่วมคิดกับเล่าปี่ ตังสินจะกำจัดโจโฉเสียตามพระอักษรพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นเล่าปี่ยกทัพไปแล้วพอทหารมาบอกม้าเท้งว่า บัดนี้เมืองเสเหลียงเกิดศึก ม้าเท้งจึงเข้าไปกราบถวายบังคมลาพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วจัดแจงทหารยกกลับไปเมืองเสเหลียง ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกกองทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว กีเหมาซึ่งโจโฉให้รั้งเมืองนั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาก็ออกไปรับเข้ามาในเมือง จึงให้แต่งโต๊ะเชิญเล่าปี่กินเสร็จแล้ว
ฝ่ายซุนเขียนกับบิต๊กซึ่งอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่ ครั้นรู้ว่าเล่าปี่กลับมาได้ก็ดีใจ จึงพากันไปหาเล่าปี่ แล้วบอกเนื้อความว่าครอบครัวของท่านปรกติอยู่เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยินดี จึงลากีเหมาไปอยู่ ณ ที่ครอบครัว ขณะนั้นม้าใช้มาแจ้งข้อราชการแก่เล่าปี่ว่า อ้วนสุดทำการหยาบช้า ลุยป๊กกับตันหลันซึ่งเป็นทหารอ้วนสุดนั้นได้ความเดือดร้อน พาทหารเลวหนีไปเป็นโจรอยู่ในป่า อ้วนสุดอพยพพาครอบครัวจะเอาตราหยกไปให้อ้วนเสี้ยวผู้พี่ บัดนี้ยกมาถึงในแดนเมืองชีจิ๋วแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงคุมทหารทั้งปวงยกออกมาจากเมืองชีจิ๋ว พอพบกีเหลงเป็นกองหน้าอ้วนสุด เตียวหุยก็ขับม้าเข้ารบด้วยกีเหลงได้สิบเพลง เตียวหุยร้องด้วยเสียงอันดัง ม้ากีเหลงนั้นตกใจทรุดถอยหลังออกไป เตียวหุยได้ที จึงเอาทวนแทงกีเหลงตกม้าตาย ทหารกีเหลงแตกกระจัดกระจายไปถึงอ้วนสุด อ้วยสุดรู้ว่ากีเหลงตายก็โกรธ จึงยกทัพใหญ่ขึ้นมาจะรบกับเล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่จึงให้กวนอู เตียวหุยเป็นปีกขวา ให้จูเหลง ล่อเจียวเป็นปีกซ้าย เล่าปี่เป็นกองกลาง แล้วสั่งปีกซ้ายปีกขวาว่า ถ้าเห็นอ้วนสุดรบไล่เรามา ท่านทั้งสองกองจงคุมทหารออกตีกระหนาบ ครั้นอ้วนสุดยกมาถึง เล่าปี่จึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องด่าอ้วนสุดว่า อ้ายขบถไม่รู้จักวันตาย ได้ตราหยกไว้แล้วตั้งตัวเป็นเจ้า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้กูยกกองทัพมาปราบ ถ้ามึงรักชีวิตอยู่ เร่งลงจากม้ามาคำนับกู แม้จะขัดแข็งอยู่มิงอนง้อ ตัวมึงแลญาติพี่น้องก็จะพลอยตายเสียสิ้น อ้วนสุดได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าเล่าปี่ว่า ตัวมึงชาติอ้ายทอเสื่อตระกูลต่ำ อ้างอวดว่าได้ถือรับสั่ง จะให้กูนบนอบนั้นกูหายอมไม่ อันฝีมือมึงนั้นก็แจ้งอยู่ว่าจะฆ่าใครตาย อ้วนสุดก็ขับทหารเข้าตีทหารเล่าปี่เป็นสามารถ
ฝ่ายเล่าปี่ก็คุมทหารทำเป็นถอยลงมา อ้วนสุดเห็นได้ทีก็ขับทหารฝ่าฟันเข้าไป เล่าปี่ก็ขับทหารรบป้องกันอยู่ ฝ่ายกวนอู เตียวหุย จูเหลง ล่อเจียวซึ่งเป็นปีกซ้ายขวาเห็นได้ทีแล้ว ก็ขับทหารออกโจมตีกระหนาบกองทัพอ้วนสุด ทหารเล่าปี่ไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนสุดล้มตายเป็นอันมาก ซากศพนั้นก่ายกันดังขอนไม้ เลือดไหลเต็มแผ่นดิน กองทัพอ้วนสุดก็แตกกระจัดกระจายไป
ฝ่ายลุยป๊กกับตันหลัน ซึ่งเป็นทหารอ้วนดสุดหนีไปเป็นโจรอยู่ป่านั้นรู้ว่าอ้วนสุดรบกันอยู่กับเล่าปี่ ลุยป๊กกับตันหลันก็คุมพวกโจรมาตีเอาทรัพย์สิ่งสินแลเสบียงของอ้วนสุดได้เป็นอันมาก
ขณะนั้นอ้วนสุดแตกเสียทหารแลอาวุธ แล้วรู้ว่าพวกโจรตีเอาทรัพย์สิ่งสินแลเสบียงไปได้ด้วย อ้วนสุดก็คิดเสียใจ จึงพาครอบครัวแลทหารซึ่งเหลือนั้นหนีไปทางเมืองฉิวฉุน พวกโจรทั้งปวงนั้นรู้ก็คุมกันมาตีเอาทรัพย์สิ่งสิน แลข้าวปลาอาหารของอ้วนสุดไปเป็นหลายพวก อ้วนสุดพาครอบครัวยั้งอยู่ตำบลกังเต๋ง เหลือทหารอยู่แต่ล้วนคนแก่คนเฒ่าประมาณพันเศษ เหลือข้าวโภชน์สาลีประมาณสามสิบเกวียน คนแก่ทั้งปวงอดอยากล้มตายบ้าง ไปขอทานชาวบ้านได้มากินมิเต็มกำลังบ้าง
ขณะเมื่ออ้วนสุดอยู่ตำบลกังเต๋งเป็นฤดูร้อน พ่อครัวทั้งปวงมีใจเจ็บแค้นว่า อ้วนสุดทำโทษมาแต่ก่อน จึงเอาข้าวโภชน์สาลีทั้งเปลือกหุงให้อ้วนสุดกิน อ้วนสุดจึงว่า เรากินมิลงคอ จงหาน้ำผึ้งมาให้เราจะละลายกิน พ่อครัวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่า จะได้น้ำผึ้งที่ไหนในที่ทางกันดารเช่นนี้ มีแต่โลหิตคน อ้วนสุดได้ยินพ่อครัวว่าก็มีความน้อยใจ จึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง อ้วนสุดก็อาเจียนโลหิตออกมาประมาณทะนานหนึ่ง ล้มตกลงจากเตียงก็ขาดใจตาย เมื่ออ้วนสุดตายนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้สี่ปีแปดเดือน
ฝ่ายอ้วนอิ๋นผู้หลาน เห็นอ้วนสุดผู้น้าตาย จึงเอาศพใส่โลง แล้วพาครอบครัวกับตราหยกแลศพอ้วนสุดนั้นจะกลับไปเมืองลำหยง ครั้นมาถึงเมืองโลกั๋งฝ่ายชีจิ๋วเป๋งชาวเมืองโกเหลงรู้ดังนั้น จึงคุมพวกเพื่อนมาสกัดตีอ้วนอิ๋น ชีจิ๋วเป๋งฆ่าอ้วนอิ๋นกับครอบครัวอ้วนสุดเสียสิ้น จึงได้ตราหยกเอาไปให้โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉได้ตราหยกก็มีความยินดี แล้วตั้งชีจิ๋วเป๋งเป็นเจ้าเมืองโกเหลง ปูนบำเหน็จทรัพย์สิ่งสินเป็นอันมาก
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นรู้ว่าอ้วนสุดตายแล้ว ก็แต่งหนังสือให้จูเหลงกับล่อเจียวถือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลบอกข้อราชการแก่โจโฉตามซึ่งได้รบพุ่งกับอ้วนสุด จนอ้วนสุดแตกไปตายตำบลกังเต๋ง แลทหารห้าหมื่นนั้นข้าพเจ้าขอไว้รักษาเมืองชีจิ๋ว จูเหลงกับล่อเจียวก็รับเอาหนังสือรีบมาให้โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉเห็นหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราให้ตัวทั้งสองกำกับเล่าปี่ไป แลตัวกลับมามิได้ทหารห้าหมื่นมาด้วย เป็นไฉนจึงยอมให้ทหารอยู่กับเล่าปี่ จึงสั่งบู๋ซูให้เอาจูเหลงกับล่อเจียวไปฆ่าเสีย
ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ไป จูเหลง ล่อเจียวก็เป็นลูกกองอยู่ในบังคับเล่าปี่ แลเล่าปี่เอาทหารห้าหมื่นไว้ ให้แต่จูเหลงล่อเจียวถือหนังสือมาแจ้งข้อราชการ ถึงมาตรว่าจูเหลง ล่อเจียวจะมีสติปัญญาประการใดก็มิอาจจะขัดเล่าปี่ได้ ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้นขอท่านดำริดูจงควรก่อน โจโฉได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ก็มิได้ให้ฆ่าจูเหลงกับล่อเจียว ซุนฮกจึงว่าครั้งนี้เห็นประจักษ์อยู่แล้วว่าเล่าปี่เอาใจออกหากท่าน ซึ่งจะนิ่งไว้ให้ข้าศึกศัตรูกำเริบใจนั้นไม่ได้ ขอให้ท่านมีหนังสือลับลอบไปให้กีเหมา ณ เมืองชีจิ๋ว ให้กีเหมาคิดอ่านฆ่าเล่าปี่เสีย
โจโฉเห็นชอบด้วย ก็แต่งหนังสือลับตามคำซุนฮกว่า แล้วให้คนสนิทถือไปให้กีเหมา กีเหมาแจ้งในหนังสือนั้นแล้วจึงให้หาตันเต๋งมาปรึกษา ตันเต๋งจึงว่าการแต่เพียงนี้เห็นพอจะทำได้ บัดนี้เล่าปี่ก็ออกไปตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมืองทุกวันมิได้ขาด เวลาพรุ่งนี้ขอให้ท่านแต่งทหารซุ่มไว้สองข้างทาง เมื่อเล่าปี่จะกลับเข้าเมืองก็ให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นออกสกัดจับเล่าปี่ฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจะคุมทหารขึ้นอยู่บนกำแพง ถ้ากวนอู เตียวหุยยกตามเข้ามา ข้าพเจ้าจะให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ต้านไว้ มิให้กวนอู เตียวหุยเข้าเมืองได้ การทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยง่ายกีเหมาเห็นชอบด้วย ตันเต๋งก็ลามาหาตันกุ๋ยผู้บิดา แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ตันกุ๋ยจึงว่า เล่าปี่เป็นคนมีปัญญา น้ำใจโอบอ้อมแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วก็เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งโจโฉคิดอ่านจะทำร้ายเล่าปี่ แลเราจะคิดด้วยนั้นไม่ควร จำเราจะไปบอกให้เล่าปี่รู้ตัวจึงจะชอบ
ตันเต๋งได้ยินบิดาว่าดังนั้น กลับได้คิดเห็นชอบด้วย ตันกุ๋ยก็ให้ตันเต๋งลอบไปหาเล่าปี่ ครั้นมาถึงกลางทาง พบกวนอู เตียวหุยคุมทหารเข้าก่อน ตันเต๋งจึงเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉมีหนังสือมา ให้กีเหมาฆ่าเล่าปี่เสียนั้นให้กวนอู เตียวหุยฟังทุกประการ กวนอู เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ เตียวหุยจึงว่ากีเหมาคิดจะทำร้ายพี่เรา  จำเราจะทำการหักเสียให้ได้ก่อน อย่าให้กีเหมาคิดอ่านสืบไปได้ กวนอูจึงว่ากีเหมาอยู่ในกำแพง ตระเตรียมการไว้พร้อมแล้ว เราจะยกเข้ารบซึ่งหน้าเห็นจะเสียท่วงที เราหยุดทัพอยู่ที่นี่ก่อน เวลาค่ำจึงแต่งทหารโจโฉซึ่งอยู่ด้วยเรานั้นให้เข้าไปร้องบอกกีเหมาว่า โจโฉให้เตียวเลี้ยวมาหา ให้เชิญกีเหมาออกมาจะว่าความลับสักสิ่งหนึ่ง ครั้นกีเหมาออกมานอกเมือง เราจึงยกทหารเข้าจับฆ่าเสีย ตันเต๋งจึงว่าแม้ท่านจับกีเหมามามิได้ กีเหมากลับเข้าเมือง ข้าพเจ้าจะให้ทหารยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ แล้วตันเต๋งก็กลับมาหาตันกุ๋ย
ครั้นเวลาสองยามกวนอูจึงให้ทหารถือธงสำคัญของโจโฉเข้าไปถึงคูเมืองใกล้เชิงกำแพง แล้วร้องบอกนายประตูว่า มหาอุปราชให้เตียวเลี้ยวมาหากีเหมาจะว่าความลับสิ่งหนึ่ง นายประตูก็เอาเนื้อความมาบอกกีเหมา กีเหมาจึงหาตันเต๋งมาปรึกษาว่า บัดนี้ทหารมาบอกว่า โจโฉให้เตียวเลี้ยวมาหา ครั้นเราจะไม่ออกไปบัดนี้ แม้นโจโฉใช้มาจริงก็จะแคลงว่าเอาใจออกหาก ครั้นเราจะยกออกไปเวลาก็ดึก ไม่แจ้งว่าเตียวเลี้ยวจะมาจริงหรือ หรือจะเป็นกลศึก ตันเต๋งจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว จำเราจะขึ้นไปดูเชิงเทินให้แจ้งก่อน แล้วกีเหมาก็พาตันเต๋งขึ้นไปบนเชิงเทิน แลลงไปเห็นทหารเป็นอันมากแต่ไม่รู้จักหน้า จำได้แต่ธงสำคัญของโจโฉ กีเหมาร้องลงไปว่า วันนี้เวลาดึกไปแล้ว มหาอุปราชใช้มาด้วยราชการสิ่งใด เวลาพรุ่งนี้จึงค่อยว่ากัน
ทหารกวนอูจึงร้องตอบว่า มหาอุปราชใช้มาว่าด้วยความลับ ครั้นจะนิ่งไว้เกรงเล่าปี่จะรู้ ให้ท่านเร่งเปิดประตูออกมา จะได้พูดกันอย่าให้ทันเล่าปี่รู้ กีเหมาได้ยินดังนั้นยังไม่สิ้นสงสัย ฝ่ายทหารซึ่งอยู่นอกกำแพงนั้นก็ร้องเตือนให้เปิดประตู กีเหมาได้ยินก็คุมทหารพันหนึ่ง จุดคบเปิดประตูข้ามสะพานคูเมืองออกไป จึงร้องถามว่าเตียวเลี้ยวอยู่ไหนเล่า กวนอูเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไปตรงหน้ากีเหมา แล้วร้องว่าอ้ายคนร้าย ควรหรือมึงคบคิดกับโจโฉจะทำร้ายพี่กู กีเหมาได้ยินดังนั้นแลไปเห็นกวนอูก็โกรธ ชักม้าเข้ารบกับกวนอูได้สิบเพลงกีเหมาอิดโรยกำลังลงก็ชักม้าหนีเข้าเมือง
ฝ่ายตันเต๋งอยู่บนเชิงเทินเห็นดังนั้น จึงให้ทหารปิดประตูเมืองเสียแล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงต้านไว้ กีเหมาเข้าเมืองมิได้ก็ควบม้าอ้อมกำแพงเมืองไป กวนอูก็ควบม้าไล่ตามไปทัน เอาง้าวฟันถูกกีเหมาตกม้าตาย กวนอูจึงตัดเอาศีรษะกีเหมากลับมา แล้วร้องประกาศแก่ทหารซึ่งอยู่บนเชิงเทินว่า กีเหมาคิดร้ายต่อเรา เราก็ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงยอมจะทำการด้วยเราก็ให้ชวนกันออกมาหาเราโดยดีเรามิได้ทำอันตราย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็เปิดประตูออกมาคำนับกวนอู กวนอูเห็นชาวเมืองชีจิ๋วออกมาหาก็มีความยินดี จึงห้ามทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตราย
ครั้นเวลารุ่งเช้า กวนอูก็ให้เตียวหุยเข้าไปอยู่รักษาเมือง แล้วจึงเอาศีรษะกีเหมากลับไปให้เล่าปี่ พอพบเล่าปี่กลางทาง กวนอูเอาศีรษะกีเหมาให้เล่าปี่ดูแล้วเล่าเนื้อความซึ่งกีเหมาคิดจะทำร้าย แลรู้เพราะตันเต๋งนั้นให้เล่าปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเนื้อความทั้งนี้ แม้รู้ถึงโจโฉ โจโฉจะยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เรา เราจะคิดประการใด กวนอูจึงว่า ถึงมาตรว่าโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายแก่ท่าน ข้าพเจ้ากับเตียวหุยจะขออาสาสู้รบกับโจโฉ เล่าปี่ได้ยินดังนั้นยังไม่สิ้นวิตก จึงพากวนอูแลทหารทั้งปวงยกเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว ตันเต๋งกับราษฎรทั้งปวงก็ชวนกันมารับเล่าปี่
ฝ่ายเตียวหุยรู้ว่าเล่าปี่ยกเข้ามาในเมืองจึงมาหา แล้วบอกกับเล่าปี่ว่า ครอบครัวกีเหมานั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียสิ้นแล้ว เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความทุกข์เป็นอันมาก จึงว่าน้องเราฆ่ากีเหมาแลครอบครัวกีเหมาเสียสิ้นฉะนี้ เห็นโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายแก่เราเป็นมั่นคง ตันเต๋งจึงว่าซึ่งโจโฉจะยกมานั้น ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบาลมิให้ทำร้ายแก่ท่านได้ เล่าปี่จึงถามว่าท่านจะคิดประการใด ตันเต๋งจึงตอบว่าทุกวันนี้โจโฉเกรงอยู่แต่อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เพราะมีทหารเลวประมาณร้อยหมื่น ทหารเอกแลที่ปรึกษาเป็นอันมาก แลเมืองเซียงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเป๊งจิ๋ว สามเมืองนี้เป็นหัวเมืองใหญ่ขึ้นแก่อ้วนเสี้ยว แลหัวเมืองน้อยซึ่งขึ้นแก่สามหัวเมืองนั้นก็มีเป็นอันมาก
ถ้าท่านให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาช่วยแล้ว ก็จะกลัวอะไรแก่โจโฉ


Thepoetry4u.: Tony
ที่มา : หนังสือสามก๊ก (ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ด้วยความเคารพจากใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น