วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"สามก๊ก" ตอนที่ 33 (ช่วงที่ 8)

By thepoetry4u

thepoetry4u.blogspot.com


เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอุตส่าห์พยายามมาหาขงเบ้งก็มิพบ จะอยู่ช้าไปไยเล่า เวลาก็เย็นลงจวนฝนจะตกพายุพัดหนาวหนัก จงรีบกลับไปเถิด เล่าปี่จึงว่ากับเตียวหุยว่า เรามายังมิทันเจรจาได้สักสองคำเลย ท่านมาด่วนรบให้รีบกลับไปจะประโยชน์สิ่งใด แล้วจึงถามจูกัดกิ๋นว่า เราได้ยินเขาเลื่องลือว่าพี่ท่านมีสติปัญญา ร่ำเรียนวิชารู้หลักแหลมเป็นอันมาก ตัวท่านเป็นน้องยังแจ้งว่าทุกวันนี้ยังเรียนสิ่งใดอยู่ จูกัดกิ๋นจึงว่า พี่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาก็จริงอยู่ แต่ซึ่งจะร่ำเรียนวิชาสิ่งใดนั้น ข้าพเจ้าหาล่วงรู้ไม่

เล่าปี่จึงว่า เรามาถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ ครั้นจะอยู่ท่าเวลาก็เย็นลงแล้วจะลาไปก่อน เราจะขอกระดาษกับพู่กันมาเขียนเป็นอักษรคำนับพี่ท่านไว้แต่พอให้รู้ว่าเราอุตส่าห์มาหา จูกัดกิ๋นก็เอากระดาษกับพู่กันมาให้ เล่าปี่จึงเขียนอักษรไว้เป็นใจความว่า ข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ มีความอุตส่าห์มาหาอาจารย์ฮกหลง ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์เลื่องลือไปว่า ท่านมีปัญญาวิชาคุณอันประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุตส่าห์ทรมารมาหาท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิพบเป็นคนบุญน้อยอาภัพนัก ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าอย่าให้สูญความปรารถนาเลย ถ้าจะเมตตาแก่ข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พบสักครั้งหนึ่งเถิด แลมาบัดนี้ก็หวังจะพึ่งปัญญาวิชาคุณของท่าน เชิญไปทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอันเกิดจลาจลให้เป็นสุขสืบไป จะได้ปรากฏกำลังปัญญาแลความคิดของท่าน ครั้นเขียนแล้วจึงส่งให้จูกัดกิ๋น แล้วก็คำนับลาออกมา พอขึ้นถึงหลังม้าได้ยินเสียงเด็กร้องว่า อาจารย์ผู้เฒ่ามาโน่นแล้ว เล่าปี่แลไปพอเห็นพ่อตาขงเบ้งขี่อูฐ มีเด็กน้อยคนหนึ่งเดินตามข้ามสะพานมาก็ดีใจ สำคัญว่าขงเบ้ง เล่าปี่จึงลงจากม้าก็คำนับแล้วว่า อาจารย์อุตส่าห์ทรมานตรำน้ำค้างไปแห่งใดมา ข้าพเจ้าอุตส่าห์มาหาพึ่งได้พบวันนี้ จูกัดกิ๋นแลเห็นเล่าปี่คำนับดังนั้น ก็ร้องบอกมาข้างหลังว่าคนนั้นมิใช่ขงเบ้ง ชื่อว่าอุยสิง่านเป็นพ่อตาขงเบ้งต่างหาก
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็อดสูแก่ใจ คำนับแล้วก็ขึ้นม้าลาไป ครั้นมาถึงเมืองซินเอี๋ย เล่าปี่มีความทุกข์ซึ่งจะไปหาขงเบ้งนั้นมิได้วาย พอเข้าปีใหม่จึงอาบน้ำชำระกายนุ่งห่มเป็นปรกติโดยสมควร สำรวมกายถ้วนสามวันแล้วก็จัดแจงสิ่งของซึ่งจะไปคำนับขงเบ้ง กวนอูเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เตียวหุยว่า พี่ท่านนี้มีความนับถือขงเบ้งดังหนึ่งอาจารย์ผู้เฒาอันใหญ่หลวง อุตส่าห์ทรมานไปถึงสองครั้งแล้วก็ไม่พบ บัดนี้จะไปอีกเล่าหาต้องการไม่ แลขงเบ้งนั้นถ้ามีปัญญาจริงเหมือนเขาเล่าลือก็จะหลบเสียไย ดีร้ายจะให้พบสักครั้งหนึ่ง นี่ชะรอยเขาเล่าลือเปล่าๆ จะเชื่อถือว่าจริงดังนั้นก็ดูมิสมควร เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็ซ้ำแก่เล่าปี่ว่า อันกวนอูว่าดังนั้นก็เหมือนน้ำใจของข้าพเจ้าคิด ถ้าจะปรารถนาพบขงเบ้งให้ได้แล้วข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระเอง จะใช้ให้คนไปหาตัวมาจงได้ มาตรว่าขงเบ้งจะมิมาข้าพเจ้าจะเอาแต่เชือกเส้นเดียวไปผูกจูงเอามาให้แก่ท่าน พี่อย่าไปเลย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดเอาเตียวหุยว่า เจ้าเจรจาหาอัธยาศัยไม่ลบหลู่ขงเบ้งดังคนไม่มีปัญญา เจ้าไม่รู้หรือสำมะหาแต่พระเจ้าจิ๋วบุนอ๋องเป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ยังทรงพระอุตส่าห์เสด็จออกไปรับเก่งสงถึงนอกพระนครแลตัวเราแต่เพียงนี้ก็ควรที่จะไปรับขงเบ้งอยู่ แม้ตัวท่านเห็นว่ามิสมควรก็อยู่ตามอัธยาศัยเถิด แต่ตัวเรากับกวนอูสองคนจะอุตส่าห์ไป เตียวหุยจึงว่า จะทิ้งพี่เสียกระไรได้จะไปด้วย เล่าปี่จึงว่า ถ้าจะไปกับเราก็ตามเถิด ครั้นใกล้จะถึงที่ขงเบ้งอยู่ประมาณยี่สิบเส้นพบจูกัดกิ๋นเดินมา เล่าปี่คำนับแล้วถามว่า พี่ท่านอยู่หรือ จูกัดกิ๋นคำนับแล้วบอกว่า พี่ข้าพเจ้ากลับมาแต่เวลาวานนี้แล้ว วันนี้เห็นจะพบท่านเข้าไปเถิด ว่าเท่านั้นแล้วเดินพ้นไป เล่าปี่มีความยินดีก็รีบไป ครั้นถึงประตูบ้านจึงว่ากับเด็กน้อยให้ช่วยเข้าไปบอกแก่ขงเบ้งว่าบัดนี้เล่าปี่มาหา เด็กน้อยจึงว่า บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าอยู่บ้านก็จริง แต่ว่านอนหลับอยู่มิรู้ที่จะปลุกได้ เล่าปี่จึงว่า อาจารย์ท่านหลับอยู่ก็อย่าวุ่นวายเลย แล้วจึงสั่งให้กวนอู เตียวหุยอยู่แต่นอกประตู เล่าปี่จึงค่อยย่องเดินเข้าไปถึงข้างใน เห็นขงเบ้งนอนผินหลังอยู่ เล่าปี่ก็ยืนอยู่แต่เบื้องต่ำ เตียวหุยเห็นเล่าปี่เข้าไปช้านานมิได้ยินเสียงพูดจาประการใดสงบอยู่ จึงเดินย่องเข้าไปดู เห็นเล่าปี่ยืนทรมานกายอยู่ที่ต่ำดังนั้นก็โกรธกลับออกมาบอกแก่กวนอูว่า ขงเบ้งคนนี้หยาบช้านัก มิได้มีคารวะแก่พี่เรา แสร้งทำนอนหลับเสีย ข้าพเจ้าจะเอาเพลิงไปจุดข้างหลังบ้านให้ตกใจตื่นขึ้นจงได้ กวนอูคิดเห็นมิชอบก็ห้ามเสีย
ฝ่ายขงเบ้งแสร้งทำหลับอยู่ช้านานประมาณสี่โมงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นทำอาการดังหนึ่งจะตื่นแล้วก็กลับนอนเสีย เด็กคนใช้เห็นเล่าปี่ยืนทรมานอยู่ช้านานดังนั้นก็เวทนาจะไปปลุกขงเบ้งให้ตื่นขึ้น เล่าปี่จึงห้ามว่า ท่านอย่าทำวุ่นวายเลยให้อาจารย์นอนให้สบายเถิด แลขงเบ้งแสร้งทำนอนเสียวันนั้นช้านาน จนบ่ายห้าโมงแล้วจึงพลิกตัวตื่นขึ้นว่าโคลงสี่บทเป็นใจความว่า ผู้ใดนอนหลับใจก็มิรู้สัญญา จักษุอันหลับอยู่นั้น จะดูสิ่งใดก็มิได้เห็น หอน้อยเรานี้ก็เป็นที่สำราญ ถึงเทศกาลฝนก็นอนอุ่น พระอาทิตย์เจ้าเอ๋ย อย่าเพ่อคล้อยคลับให้ลับหน้าต่างหยุดส่องแสงอยู่ก่อนจะได้นอนให้สบาย ครั้นว่าโคลงแล้วจึงเรียกเด็กน้อยเข้าไปถามว่า ใครมาหาเราบ้างหรือไม่ เด็กน้อยจึงบอกว่า บัดนี้เล่าปี่มาหาท่านยืนคอยท่าอยู่ช้านานแล้ว ขงเบ้งก็ทำเป็นโกรธรุกเอาเด็กว่า เหตุใดจึงไม่บอกแต่เดิมที นิ่งเสียจนป่านนี้ ว่าดังนั้นแล้วก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง หวีผมใส่เสื้อแต่งตัวแล้วกลับออกมา
เล่าปี่แลเห็นขงเบ้งรูปร่างใหญ่โต สูงถึงหกศอก สีหน้าขาวเหมือนหยวกแต่งตัวโอ่โถง ท่วงทีเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ จึงเข้าไปคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าตั้งใจมาหาท่านบัดนี้ เพราะมีความปรารถนาจะขอสติปัญญาท่าน ด้วยแผ่นดินทุกวันนี้เป็นจลาจลจวนจะสาบสูญอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้านี้เป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ทว่ามีสติปัญญาน้อย แล้วก็เป็นชาวบ้านนอกอยู่เมืองตุ้นก้วน แจ้งว่าท่านเป็นคนดีมีสติปัญญาปรากฏเอิกเกริกเสมือนเสียงฟ้า ข้าพเจ้ามีความยินดี มาคำนับท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิได้พบ จึงเขียนหนังสือฝากไว้หวังจะให้ท่านแจ้ง ขงเบ้งจึงตอบว่าข้าพเจ้าเห็นในหนังสือนั้นก็แจ้งอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าตัวยังหนุ่มนัก ทั้งสติปัญญาความคิดก็อ่อน ครั้นจะไปทำราชการด้านท่านก็จะเสียการของท่านไป เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งเจรจาถ่อมตัวดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่าสติปัญญาอ่อนนั้น ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว ด้วยสุมาเต๊กโชแลชีซีได้บอกให้รู้ทุกประการ ขอท่านได้เมตตาอย่าบิดพลิ้วเลย จงช่วยข้าพเจ้าบำรุงแผ่นดินด้วยเถิด ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปช่วยคิดอ่านทำราชการนั้น ความคิดท่านจะทำประการใด จงชี้แจงให้ข้าพเจ้าแจ้งก่อน เล่าปี่ขยับเข้าไปใกล้ขงเบ้งแล้วว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชสมบัติ มีศัตรูทำหยาบช้าต่างๆ ข้าพเจ้ามีใจเจ็บร้อนด้วยการแผ่นดินนัก จึงไปเที่ยวแสวงหาผู้มีสติปัญญา ซึ่งจะช่วยคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียก็ยังมิสำเร็จ แต่ผู้คนทั้งปวงนั้นก็ซ่องสุมไว้ได้พร้อมอยู่แล้ว ซึ่งมาหาท่านทั้งนี้หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุง จงเอ็นดูข้าพเจ้าด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น